:::     :::

สู้ไม่ได้ และไม่ได้สู้

วันจันทร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ โรงเตี๊ยมลูกหนัง โดย ทอมมี่ ท่ามะกา
2,229
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ครั้งสุดท้ายที่อาร์เซน่อลบุกชนะทีม "ท็อปซิกซ์" เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2015 ในเกมที่ ซานติ กาซอร์ล่า และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ช่วยกันยิงคนละประตูบุกชนะแมนฯ ซิตี้ 2-0

ผ่านมาถึงตรงนี้เป็นเวลา 4 ปีเต็มที่ "ปืนใหญ่" สะกดคำว่าชนะไม่เป็นเลยในการเยือนทีมกลุ่มนำด้วยกัน 

ฤดูกาลนี้ ปืนใหญ่ เก็บได้เพียงคะแนนเดียวในการไปเยือนเชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และแมนฯ ซิตี้ โดยที่เสียไปถึง 13 ประตู

นัดเดียวที่แบ่งแต้มมาได้คือเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดซึ่งควรต้องเป็นเกมที่เก็บชัยชนะได้ด้วยเพราะสภาพของผีแดงตอนนั้นเจ็บค่อนทีม และอยู่ในช่วงผลงานย่ำแย่ยุคท้ายของกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่

เกมล่าสุดกับแมนฯ ซิตี้ก็ไม่ต่างจากทุกเกมที่ไปเยือนทีมท็อปซิกซ์ด้วยกันใน 4 ปีที่ผ่านมา 

เกมที่ควรชนะก็ได้แค่เสมอหรือพลิกแพ้ไปเลย ส่วนเกมที่เป็นรองก็แพ้สบาย โดนอัด 4-5 หรือกระทั่ง 6 ประตูเป็นเรื่องปกติ

ความพ่ายแพ้ของอาร์เซน่อลที่รังแมนฯ ซิตี้ ด้วยความห่าง 2 ประตู ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายแต่อย่างใด และหากเรือใบจะยิงให้ขาดกว่านี้ก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรด้วย 

เทียบกับการเล่นที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็ยังมีวันที่พีกทั้งเอาชนะสเปอร์สและเชลซีด้วยรูปแบบการเล่นตื่นตาตื่นใจ หรือแม้กระทั่งวันที่เสมอลิเวอร์พูลก็แลกหมัดอย่างสมศักดิ์ศรี ทีใครทีมัน 

แต่นอกบ้านคือหนังคนละม้วน 

หากไม่นับประตูตีเสมอ 1-1 ของ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ แล้ว การเจอกันล่าสุดระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล แทบจะคล้ายรอบชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ ปีก่อนที่เรือใบชนะสบาย 3-0 

สู้กันไม่ได้ และไม่รู้จะสู้อย่างไร

แมนฯ ซิตี้ ครบเครื่องกว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพโดยรวม คุณภาพของผู้เล่น ทักษะส่วนตัว วิธีการเล่น และแรงจูงใจในการกลับมาชนะหลังพลาดท่านัดล่าสุดต่อนิวคาสเซิ่ล

แค่เพียงจุดสองจุดที่ทำได้ดีกว่าคู่แข่ง ทีมระดับแมนฯ ซิตี้ ก็สามารถเก็บชัยชนะได้แล้ว นั่นจึงไม่แปลกที่นัดนี้ลูกทีมของเป๊ปเก็บ 3 คะแนนง่ายดาย และไม่ได้ออกแรงถึงขีดสุดด้วยซ้ำ


ครึ่งหลังอาร์เซน่อลทำอะไรไม่ได้เลย

อาร์เซน่อลเล่นเหมือนยอมรับสภาพ ครึ่งแรกยังพอมีตอบโต้ และพาบอลสวนกลับคืนมาบ้าง แต่ครึ่งหลังนิ่งเงียบสนิทเป็นเป้านิ่ง รอแค่ว่าจะโดนกระทุ้งอีกมากน้อยแค่ไหน

ตลอดครึ่งหลัง สถิติในเกมรุกของอาร์เซน่อลอ่านได้ ''ศูนย์'' ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โอกาสยิงไม่ว่าจะเข้ากรอบ-ไม่เข้ากรอบ, เตะมุม, โต้กลับ หรือการสร้างสรรค์โอกาสสำคัญ

ไม่มีอะไรทำให้แมนฯ ซิตี้ ระคายผิวแม้แต่นิด

การแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่แพ้แบบไม่หือไม่อือแบบนี้ก็น่าผิดหวังเกินไป

สภาพความพร้อมของอาร์เซน่อลเป็นรองแมนฯ ซิตี้ อยู่มาก โดยเฉพาะเกมรับที่บาดเจ็บไปหลายคน

ร็อบ โฮลดิ้ง กับ เอคตอร์ เบเยริน พักยาวไปก่อนแล้ว ขณะที่ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส ก็เดี้ยงตามไปอีกราย หมดสิทธิ์ช่วยทีมราว 1 เดือน

กอสซิแอลนี่ฟิตกลับมาทันเวลา หลังบาดเจ็บในเกมเอฟเอ คัพ กับแมนฯ ยูไนเต็ด แต่ เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส ที่พอจะแก้ขัดในตำแหน่งแบ็กขวาได้ก็ฟิตไม่ทัน หายไปพร้อมกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน และ กรานิต ชาคา

นั่นทำให้ อูไน เอเมรี่ ต้องเลือกส่ง สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ ลงเล่นแบ็กขวา 

แค่คิดภาพลิคท์สไตเนอร์ในวัย 35 ปี ต้องรับมือกับผู้เล่นริมเส้นจี๊ดๆ ของแมนฯ ซิตี้ โดยเฉพาะ ลีรอย ซาเน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ก็สยองแล้ว

แล้วก็เป็นไปตามคาด


จังหวะเสียประตูแรก ผู้เล่นอาร์เซน่อลอยู่ในเขตโทษตัวเอง 11 คน

ลิคท์สไตเนอร์ ป้องกันเกมรุกฝั่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้จริงๆ ยิ่ง 2 ประตูหลังที่เสียยิ่งชัดเจนกับการโดนสเตอร์ลิงเล่นงาน

ชัยชนะในเกมฟุตบอลอาจมาจากหลายปัจจัยรวมกัน แต่การดวลตัวต่อตัวในเสี้ยววินาทีก็ชี้ขาดผลการแข่งขันได้เช่นกัน

เป๊ปจัดแท็กติกด้วยการให้ ราฮีม สเตอร์ลิง กับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา เป็นวิงแบ็กซ้าย-ขวา ตอนเซตเกมรุกจะมี 3 กองหลังยืนระนาบเดียวกันคือ เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์, นิโกลัส โอตาเมนดี้ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ พอจังหวะที่เสียบอลก็มี แฟร์นันดินโญ่ ถอยลงต่ำเหมือนเป็นเซนเตอร์อีกคน

ตำแหน่งของราฮีมและซิลวาไม่ได้เล่นตัวรุกริมเส้นเต็มสูบด้วยซ้ำ จากระบบที่เป๊ปเซตเอาไว้ แต่ก็มีคุณภาพมากพอในการเจาะอาร์เซน่อล

ลองนึกภาพหากจัดแบบไม่คิดมาก เล่น 4-3-3 แล้วใช้ ลีรอย ซาเน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ขนาบข้าง เซร์คิโอ อเกวโร่ สภาพศพอาร์เซน่อลจะยิ่งเละกว่านี้เสียอีก

ปัญหาเกมรับของอาร์เซน่อลคือปัญหาใหญ่ที่เรื้อรังมาตั้งแต่ยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ พอถึงยุคของ อูไน เอเมรี่ ก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด

ความจริงที่ว่า อาร์เซน่อล เป็นทีมเดียวในลีกที่เสียประตูนอกบ้านทุกนัดบ่งบอกสภาพได้เป็นอย่างดี ขนาดทีมหนีตายอย่าง ฟูแล่ม, คาร์ดิฟฟ์ และฮัดเดอร์สฟิลด์ ยังมีวันที่เก็บคลีนชีตที่บ้านคู่แข่งได้

จังหวะที่เสียประตูแรกตอนเริ่มเกมได้เพียง 43 วินาที มีผู้เล่นอาร์เซน่อลอยู่ในเขตโทษครบ 11 คน แต่ปล่อยให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ได้โหม่งง่ายๆ เข้าไป 

อาร์เซน่อลทำได้ย่ำแย่ในการป้องกันเกมรุกคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันทั้งทีมหรือรายตัว 

ปัญหาหลังบ้านอาจผ่อนหนักเป็นเบาได้ หากนักเตะบางคนไม่เล่นประมาทจนก่อความผิดพลาดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย

อเล็กซ์ อิโวบี้ ต้องถูกตำหนิในประตูแรกที่เสีย เพราะเป็นคนครองบอลได้บริเวณฝั่งขวา แต่แทนที่จะเคลียร์ทิ้งสาดโด่งทันที หรือแตะออกริมเส้นอีกหน่อยเพื่อให้มีพื้นที่เปิดบอลมากขึ้น กลับเลี้ยงจี้เข้าหา เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ 

เพื่อ???

นี่คือปัญหาใหญ่ของนักเตะที่ผ่านอะคาเดมี่ในอังกฤษ ซึ่งหลายคนมีความมั่นใจในตัวเองผิดไป ถูกอวยถูกยกย่องเกินคุณภาพฝีเท้า อิโวบี้ก็เช่นกัน (เลือกเล่นให้ไนจีเรียตามบรรพบุรุษ)  

จังหวะแบบนี้ไม่ต้องเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีก เอาแค่กีฬาสีโรงเรียนหรือกีฬาภายในของบริษัทก็ต้องรู้ว่าควรต้องรีบเคลียร์ทิ้ง เอาบอลออกห่างจากเขตโทษให้มากที่สุด

แต่อิโวบี้กลับมั่นใจในฝีเท้าตัวเองว่าจะเลี้ยงผ่านคู่แข่งที่ยืนขวางหน้า จึงเลือกจี้เข้าหาดื้อๆ 

เรื่องฝีเท้าสามารถพัฒนากันได้ แต่ทัศนคติที่ผิดๆ แบบนี้แก้ได้ยากจริงๆ จังหวะที่ควรเล่นให้ง่าย กลับเลือกเล่นยาก สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแบบไม่จำเป็น

สิ่งแรกที่ต้องท่องให้ขึ้นใจสำหรับการมาเยือนเอติฮัด สเตเดี้ยม คือห้ามเล่นประมาท เพราะแมนฯ ซิตี้ เป็นบอลที่สามารถเพรสซิ่งได้ นักเตะมีความฟิต และคล่องตัว

แค่นาทีแรกและเสียประตูทันทีก็เห็นชัดว่าอาร์เซน่อลไม่ได้เตรียมความพร้อมที่ดีในการมาสู้กับแมนฯ ซิตี้ 

การจัดตัวของเอเมรี่ก็แปลกๆ ที่เลือกให้ เซอัด โคลาซินัช เล่นตัวรุกฝั่งซ้าย ซึ่งแทบไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้กับเจ้าถิ่น

โคลาซินัชเป็นแบ็กที่เติมเกมรุกดี แต่เหมาะกับการเล่นระบบวิงแบ็กมากกว่า พอจับไปเล่นตัวรุกเต็มตัวจึงไม่เป็นธรรมชาติ และเหมือนเสียหมากไปหนึ่งตัว

เมื่อรวมกับการเล่นยึกๆ ยักๆ ของตัวรุกอีกฝั่งอย่างอิโวบี้เข้าไปด้วย อาร์เซน่อลจึงไม่สามารถสร้างสรรค์เกมใดๆ ได้เลย

การมีกองหน้าระดับท็อป 2 คนในทีมอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กับ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ เป็นเรื่องดี แต่จะมีประโยชน์อันใดหากขาดการสนับสนุนจากแดนกลาง


อูไน เอเมรี่ ยังแก้ปัญหาเกมรับไม่ได้

เอเมรี่วางแผนพลาดชัดเจนที่เลือกอิโวบี้และโคลาซินัช เล่นปีก 2 ข้างกับระบบ 4-4-2 ขณะที่ตัวรุกที่คุณภาพฝีเท้าดีกว่าชัดเจนทั้ง เมซุต โอซิล, อารอน แรมซี่ย์ รวมถึงตัวใหม่ เดนิส ซูอาเรซ กลับเป็นเพียงสำรอง

จริงอยู่ว่า อาร์เซน่อลเป็นรองมาก แต่หากจัดตัวได้เหมาะสมก็น่าจะสู้ได้ดีกว่านี้ 

แต่ความจริงคือ ความพร้อมเป็นรอง การจัดตัวก็ผิดพลาด วิธีการเล่นทำได้ไม่ดี เน้นรับสุดตัว แต่ก็รับมือบอลเคาะจังหวะเดียวของแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้ แถมไม่ได้แสดงออกในเรื่องหัวจิตหัวใจนักสู้อย่างที่ควรจะเป็นนัก

แมนฯ ซิตี้ มีทุกอย่างที่ตรงข้ามกับอาร์เซน่อล รวมถึงมีผู้เล่นที่เป็น ''บิ๊กเกมเพลเยอร์'' อย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ซัดประตูอาร์เซน่อลรวม 14 ลูกเข้าไปแล้ว 

ทีมที่จะลุ้นความสำเร็จต้องมีนักเตะที่สามารถฝากผีฝากไข้ได้โดยเฉพาะเกมแบบนี้ เหมือนอย่างที่เชลซีมี เอแด็น อาซาร์ 

แต่อาร์เซน่อลไม่มี และไม่คู่ควรใดๆ ที่จะไปต่อกรกับแมนฯ ซิตี้ เลย 

เพราะพวกเขาสู้ไม่ได้และก็ไม่ได้สู้อีกต่างหาก


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})