เปราะบาง
สถานการณ์ของ โอซิล ตอนนี้ทำให้อาร์เซน่อลต้องเผชิญหน้ากับโจทย์อันสลับซับซ้อนและหลีกหนีไม่ได้
ต้องคิดแก้ปัญหาและหาทางออกให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตจนเสียหายในแบบที่คาดไม่ถึง
ข่าวที่อังกฤษโหมต่อเนื่องว่าอาร์เซน่อลมอง โอซิล เป็นส่วนเกินและต้องการเขี่ยให้พ้นทีม
ที่มาที่ไปของข่าวนี้มี 2 ปัจจัย
ในมุมของบอร์ดบริหาร การปล่อย โอซิล ออกไปเท่ากับลดภาระค่าเหนื่อยได้ถึงสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์
ในมุมของ อูไน เอเมรี่ ก็เท่ากับไม่มีผู้เล่นที่เขามองว่ามี "อภิสิทธิ์" เหนือคนอื่น และเหลือผู้เล่นที่อยู่ในแผนการเท่านั้นให้เลือกใช้งาน ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามในทุกครั้งที่ขาดหายไป
เมซุต โอซิล ลงสนามน้อยมากเพียง 17 นัดในฤดูกาลนี้ ไม่ถึงครึ่งที่อาร์เซน่อลลงเล่นทุกรายการรวมกัน 38 นัด
สตาร์วัย 30 ปีหายจากทีมบ่อยครั้งทั้งด้วยอาการบาดเจ็บ ป่วยไข้ และไม่เข้าแท็กติกอย่างที่ เอเมรี่ บอกเองหลายครั้ง
เช่นเดียวกับเกมยูโรปา ลีก นัดล่าสุดที่พ่ายต่อบาเต้ บอริซอฟ ที่เอเมรี่บอกว่ายังไม่สมบูรณ์ทั้งที่กลับมาซ้อมได้แล้ว
หากเป็นอาการบาดเจ็บ (จริง) ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ แต่หลายครั้งการหลุดทีมทั้งที่ร่างกายฟิตเปรี้ยะก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลของ เอเมรี่ มากนัก
ช่วง 2-3 เดือนหลังที่ผลงานของอาร์เซน่อลออกทะเล สะดุดบ่อยครั้งเป็นช่วงเดียวกับที่ โอซิล พลาดลงสนามเป็นว่าเล่น
นอกจากปัญหาเกมรับที่มีผู้เล่นเจ็บหลาคนจนต้องสลับเปลี่ยนทุกนัดแล้ว การทำเกมรุกก็ไม่ลื่นไหลอย่างที่เคยทำได้ช่วงแรก
ตัวประสบการณ์อย่าง อาร่อน แรมซี่ย์ ไม่ได้มีสถานะต่างกันนักเพราะเข้าๆ ออกๆ ระหว่างตัวจริงกับสำรอง และตอนนี้ก็นับวันถอยหลังเพื่อเริ่มต้นใหม่กับยูเวนตุสอย่างที่ได้ประกาศถึงอนาคตของตัวเองไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
ขณะที่ เมซุต โอซิล ก็ดันไม่ใช่ผู้เล่นที่ เอเมรี่ ชื่นชอบ และดร็อปออกจากทีมหลายครั้ง
ฤดูกาลนี้อาร์เซน่อลวางเป้าหมายกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้หลังพลาดมา 2 ฤดูกาลติด
วิธีการมี 2 แบบคือ จบท็อปโฟร์ในลีก กับคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก
ตอนแรกวิธีการอย่างหลังดูเป็นไปได้มากกว่าเพราะ เอเมรี่ เคยคว้าแชมป์กับเซบีย่าถึง 3 สมัยติดต่อกัน และคู่แข่งในยูโรปา ลีก ก็ไม่ใช่เสือ สิงห์ กระทิง แรด แบบแชมเปี้ยนส์ ลีก
อาร์เซน่อลมีดีพอที่จะเอาชนะได้ทุกทีม ไม่เว้นแม้ทีมที่หล่นมาจากถ้วยใหญ่
แต่พอพลาดท่าพ่ายต่อบาเต้ บอริซอฟ ในนัดแรก อะไรที่ว่าแน่ก็ไม่แน่ และต้องลุ้นอย่างหนักในนัดสองที่จะกลับมาเล่นในบ้านวันพฤหัศฯ นี้
อูไน เอเมรี่ ในฐานะเฮดโค้ชกำลังเผชิญกับความกดดันจากรอบข้างทั้งจากผลงานในสนามและการจัดการกับสตาร์ของทีมอย่าง โอซิล
หากผลงานของทีมยังทำได้ดี ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ การหลุดทีมของ โอซิล ก็คงไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่โตในเมื่อทีมยังก้าวไปข้างหน้าได้
แต่เมื่อผลงานในสนามไม่เป็นไปตามเป้า เอเมรี่ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเพราะเป็นคนตัดสินใจเลือกแท็กติก วางแผนการเล่น และเลือกใช้หรือไม่ใช่ผู้เล่น
การไม่มี โอซิล อาจไม่ใช่ข้ออ้างในทุกนัดที่ทีมพลาดท่าเสมอหรือกระทั่งแพ้
โอซิล ได้ลงเล่นไม่ถึงครึ่งในยุค เอเมรี่
ในหลายนัดต่อให้มี โอซิล ก็ไม่น่าจะทำอะไรได้มากเพราะเล่นแย่กันทั้งทีม แต่บางนัดก็อดคิดไม่ได้ว่าหากมีอดีตแข้งเรอัล มาดริดอยู่ในสนาม การทำเกมรุกคงมีมิติมากกว่านี้
คุณภาพผู้เล่นของอาร์เซน่อลเป็นรองทีมกลุ่มนำด้วยกัน ตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมาก็ไม่มีเงินไปซื้อใครได้ เอเมรี่ รู้ดีถึงปัญหาของตัวเอง
แต่เขากลับตัดทางเลือกตัวเองให้น้อยลงไปอีกด้วยการดร็อป โอซิล ออกจากทีมทั้งที่คุณภาพฝีเท้าดีกว่าตัวรุกคนอื่น
การกระทำของ เอเมรี่ ทำให้เจ้าตัวเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับช่วงท้ายก่อนอำลาปารีส แซงต์-แชร์กแมง
เขาไม่ได้รับความเชื่อมั่นและเคารพจากผู้เล่นหลายคนเนื่องจากไม่สามารถจัดการปัญหากับซูเปอร์สตาร์อย่าง เนย์มาร์ ได้
จากเรื่องเล็กๆ ที่แย่งกันยิงจุดโทษและฟรีคิกบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สื่อเอาไปละเลงถึงความขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่าง เนย์มาร์ และ เอดินสัน คาวานี่ โดยที่ เอเมรี่ ไม่สามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมและทำให้บรรยากาศในทีมเสียไปหมด
เอเมรี่ จึงปักธงในใจตั้งแต่วันแรกที่ยื่นใบสมัครงานในตำแหน่งกุนซืออาร์เซน่อลว่าจะไม่ยอมให้นักเตะคนใดมี "อภิสิทธิ์" เหนือคนอื่น
ตอนเก็บข้อมูลนักเตะอาร์เซน่อลเพื่อเข้าสัมภาษณ์งาน เอเมรี่ เห็นอยู่แล้วว่า โอซิล รับค่าเหนื่อยมากสุดในทีม และมากกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นที่รับมากสุดเกือบสองเท่า
จุดนี้อาจเป็นจุดที่ทำให้เขาเพ็งเล็งโอซิลตั้งแต่แรก และต้องการลดสถานะให้ลงมาใกล้เคียงคนอื่น
โอเคว่าเอเมรี่สามารถอ้างได้ โอซิล ไม่ขยันมากพอ ขาดแรงกระตุ้น เล่นได้ต่ำกว่าที่คาด ขณะที่ฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวาก็เป็นอีกสิ่งที่ถูกวิจารณ์บ่อยครั้งมาตั้งแต่ยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์
แต่สิ่งที่โอซิลมีก็คือ "คลาส" และฝีเท้าที่นักเตะหลายคนในทีมไม่มี
คนเป็นโค้ชต้องรู้จักเลือกใช้ให้เป็นเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับตัวเอง ไม่ใช่ตัดออกจากทีมและไปฝากความหวังกับนักเตะที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองได้อย่าง อเล็กซ์ อีโวบี้
หาก โอซิล ไม่ดีในนัดนี้ก็สามารถดร็อปเป็นสำรองได้ แต่ถึงขั้นหลุดออกจากทีม ไม่มีชื่อแม้กระทั่งสำรองก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่รุนแรงไปนิด
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ อูไน เอเมรี่ มัวแต่ไปกังวัลกับสถานะของ เมซุต โอซิล มากเกินไปจนมองข้ามความสำคัญกับผลงานสนามทั้งที่เป็นสิ่งแรกซึ่งต้องมาก่อนเรื่องอื่น
โอซิล อาจจะไม่ตอบโต้ใดๆ ในสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึก ทุกท่าทีผ่านทางสื่อโซเชียลเป็นไปอย่างเรียบง่าย และให้กำลังทีมทุกครั้งแม้ตัวเองหลุดโผ ไม่ได้ลงสนาม
แต่เนื้อแท้ในใจลึกๆ ใครเล่าจะรู้ เช่นเดียวกับมีใครกล้าบอกหรือไม่ว่านักเตะคนอื่นเห็นด้วยกับการตัดสินใจของ เอเมรี่
ลองสมมุติง่ายๆ หากเราเป็น อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ก็คงรู้สึกอุ่นใจกว่าอยู่แล้วถ้ามี เมซุต โอซิล คอยทำเกมอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่หันไปแล้วเจอ อีโวบี้
ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นได้หากไร้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สิ่งที่ เอเมรี่ ทำตอนนี้ไม่ได้ช่วยให้ความมัคคีในทีมเพิ่มขึ้นเลย หากแต่บั่นทอนให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
จากแนวคิดแรกเริ่มที่ต้องให้ทุกคนเท่าเทียมกัน กลายเป็นออกมาตรงกันข้ามเพราะเลือกปฏิบัติกับบางคนต่างจากคนอื่น
คนเรามีเลือดเนื้อหัวใจ มีความรู้สึก มีความอ่อนไหว และก็ต้องการความรัก การปฏิบัติที่เหมาะสม
หากต้องร่วมงานกันก็ยิ่งต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ใจซึ่งกันและกัน โอกาสไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ก็เป็นไปได้
เอเมรี่ ต้องคิดเสียใหม่ ลดอีโก้ในตัวเองลง แสดงให้เห็นว่าใจใหญ่พอสมกับการได้เป็นผู้นำทีม
อย่าปล่อยให้สถานการณ์ที่ "เปราะบาง" แบบนี้ยื้อไปยื้อมาจนถึงวันที่ต้อง "แตกหัก" กันในที่สุด
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT