ห่วยแตกที่สุด
ที่ต้องแบบนั้นเพราะทีมปืนใหญ่โยนชัยชนะในมือทิ้งไปอย่างน่าเขกกะโหลกอย่างที่สุด เป็นผลเสมอที่น่าอับอายยิ่งกว่าความปราชัยในหลายต่อหลายนัด
อาร์เซน่อลขึ้นนำคู่แข่งที่เป็นบ๊วยและเพิ่งเปลี่ยนโค้ช 2-0 ในครึ่งแรก ทุกอย่างควรอยู่ในการควบคุมและลุ้นประตูเพิ่มไม่ยากในครึ่งหลัง ทว่ากลับปล่อยให้วัตฟอร์ดไล่ตีเสมอ 2-2 และเกือบจะแซงชนะด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับอาร์เซน่อลใน 45 นาทีหลังเป็นสิ่งเลวร้ายเกินกว่าที่แฟนบอลจะรับได้ และเป็นผลงานน่าอับอายที่สุดในยุค อูไน เอเมรี่
วัตฟอร์ดไม่เพียงได้ 2 ประตูไล่ตีเสมอ แต่ขึงเกมรุกเล่นงานอาร์เซน่อลราวกับว่าเป็นทีมลุ้นแชมป์ไล่บดขยี้ทีมหนีตายท้ายตารางแบบ "บอลคนละชั้น"
กีเก้ ซานเชซ ฟลอเรส กุนซือวัตฟอร์ดที่เข้ามาแทนที่ ฆาบี กราเซีย แก้เกมครึ่งหลังได้ดีมากกับการเล่นเพรสซิ่งหนัก ไล่บอลถึงตัวตั้งแต่แดนอาร์เซน่อล ทุกคนขยับหมด ไม่มีกินแรงกันเอง
ไม่ว่าอาร์เซน่อลจะเปิดเกมรุกรูปแบบใดทั้งการต่อบอลสั้นจากแดนหลังอย่างที่ทำมาตลอด หรือทุ่มบอลข้างสนาม ผู้เล่นวัตฟอร์ด ต่างรุมไล่บี้ จ้องแย่งบอลราวกับฉลามรอฮุบเหยื่อ ทุกคนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
นั่นทำให้อาร์เซน่อลไม่สามารถแงะบอลพ้นกลางสนามมาได้เลย กองหลังแก้เพรสซิ่งชั้นแรกได้ แถวสองก็เสร็จอยู่ดีเพราะวัตฟอร์ดรอเก็บตกอยู่แล้ว
2 ประตูของ "โอบา" ในครึ่งแรก กลับไร้ค่าในครึ่งหลัง
อูไน เอเมรี่ เลือกวางแท็กติก 4-4-2 แบบไดมอนด์หลังจากไม่มี อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ หัวหอกตัวเก่งที่บาดเจ็บ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กับ นิโกล่าส์ เปเป้ ได้เล่นกองหน้าคู่กัน
ในเหลี่ยมเพชรตรงกลาง กรานิต ชาคา ยืนต่ำสุด ด้านข้างที่ยืนสูงกว่าเล็กน้อยคือ มัตเตโอ เก็นดูซี่ ทางฝั่งขวา และ ดานี่ เซบายอส ทางฝั่งซ้าย โดยมี เมซุต โอซิล ที่ลงเล่นนัดแรกของฤดูกาล ยืนบนสุด
แดนกลางอาร์เซน่อลไม่สามารถเก็บบอลแถวสองได้เพราะไม่เตรียมพร้อมที่จะเล่น หรือต่อให้รับบอลได้ก็ไม่สามารถพลิกแล้วเปิดเกมรุกได้ถนัดเพราะมีผู้เล่นวัตฟอร์ดถึงตลอด
การไล่บี้อย่างหนักหน่วงของวัตฟอร์ดในครึ่งหลังทำให้พวกเขามีโอกาสส่องประตูถึง 24 ครั้ง อาร์เซน่อลเล่นเกมรับได้น่าผิดหวังอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการแก้เพรสซิ่ง หรือการดวลตัวต่อตัว
เคราร์ด เดวโลเฟว เผาเครื่อง เมทแลนด์-ไนลส์ ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ประตูตีไข่แตกของวัตฟอร์ดก็ได้ เดวโลเฟว ที่ขยันไล่บอลจนแหย่เท้าสกัดลูกเปิดของ โซคราตีส ได้ก่อนบอลหลุดเข้าทาง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ได้ยิงโล่งๆ เข้าไป
ในช่วง 25 นาทีแรกของครึ่งหลัง เกมเพรสซิ่งอย่างขยันขันแข็งของวัตฟอร์ดได้ผลอย่างมาก และบีบให้อาร์เซน่อลไม่สามารถพาบอลเข้าไปในเขตโทษวัตฟอร์ดแม้แต่ "ครั้งเดียว"
วัตฟอร์ดฉกฉวยความผิดพลาดของอาร์เซน่อลได้สำเร็จ
เกมของอาร์เซน่อลได้โงหัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีการปรับระบบการเล่นเป็น 4-2-3-1 หลังส่ง 3 ตัวสำรองอย่าง โจ วิลล็อค, ลูคัส ตอร์เรร่า และ รีสส์ เนลสัน ลงมา
แต่รูปเกมที่ดีขึ้นก็เป็นเพียงภาพลวงตา วิลล็อค กับ เนลสัน แข้งขาอ่อนในหลายจังหวะทั้งที่เพิ่งลงสนาม บางครั้งก็โดนแซะบอลจากเท้าง่ายๆ จนไม่สามารถกดดันแนวรับวัตฟอร์ดได้อย่างที่ควรจะเป็น
เกมรุกของอาร์เซน่อลในช่วง 20 นาทีสุดท้ายเป็นไปอย่างกะปิดกะปอย ไม่มีความต่อเนื่อง เพราะแต่ละคนไม่วิ่งช่วยกันสร้างพื้นที่ในการจ่ายบอล
ครึ่งแรกประสานงานกันดี แต่ครึ่งหลังเหมือนคนละทีม ต่างคนต่างเล่น ไม่มีความตื่นตัว ไม่มีคาแรกเตอร์ของนักสู้ จังหวะปั๊มบอลแทบไม่เคยได้ วัตฟอร์ดจึงพลิกบอลเล่นง่ายๆ
โอบาเมย็อง ต้องลงมาล้วงบอลในแดนตัวเองหลายครั้ง แต่พอเก็บได้ก็ถูกประชิดตัวเร็ว ต่อให้พยายามสุดตัวมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาตัวรอดได้ตลอด
นั่นทำให้เกมรุกของอาร์เซน่อลไม่สามารถกดดันวัตฟอร์ดเพื่อลุ้นประตูที่ 3 ได้ ต่างจากวัตฟอร์ดที่หลังจากตีเสมอได้แล้วก็เป็นฝ่ายที่ได้ลุ้นประตูแซงชนะมากกว่า
ประตูตีเสมอ 2-2 ของวัตฟอร์ดก็มาจากความผิดพลาดในแนวรับอาร์เซน่อลที่ ดาวิด ลุยซ์ ทำเสียจุดโทษแบบไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้เลยเพราะยกเท้าขวางชัดเจน
ความผิดพลาดในเกมแบบนี้อาจมองได้ว่ามันเป็นจังหวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกทีม แต่สำหรับอาร์เซน่อลมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
นัดนี้ ลุยซ์ นัดก่อน ชาคา ย้อนไปในเกมกับลิเวอร์พูลก็ ลุยซ์ โดยที่มีตัวละครสมทบอย่าง โซคราตีส สลับเข้าฉากทั้งนัดนี้และนัดกับสเปอร์สที่ขึ้นมาพยายามโหม่งบอลกลางสนามแล้วไม่โดนบอลจนเป็นที่มาของการเสียประตูแรก
อาร์เซน่อลเสียจุดโทษ 3 นัดติดต่อกันแล้ว
กับการเล่นแบบนี้ ในนัดต่อไปก็คงมีสักคนที่พร้อมจะหยิบยื่นประตูให้คู่แข่งง่ายๆ เพราะคุณภาพการเล่นอ่อนหัดราวกับเป็นทีมจากลีกล่าง ขณะที่ อูไน เอเมรี่ ก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลยทั้งที่ผ่านการคุมทีมฤดูกาลแรกมาแล้ว
ตลอด 90 นาทีเต็ม วัตฟอร์ด หาโอกาสยิงรวมกันได้ 31 ครั้ง เป็นสถิติมากสุดที่อาร์เซน่อลปล่อยให้คู่แข่งได้ง้างเท้าลุ้นยิงประตูนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาในฤดูกาล 2003/04
ในหลายนัดที่เคยโดนแมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และเชลซี อัดเละเทะ 5, 6 หรือกระทั่ง 8 ประตู ก็ไม่เคยโดนส่องขนาดนี้
การแพ้ทีมใหญ่ด้วยกันก็ยังพอเข้าใจได้เพราะสถานการณ์ส่วนใหญ่คือโดนก่อน จึงพยายามเปิดแลก พอยิ่งแลกก็ยิ่งโดนและสภาพจึงออกมาเละเทะ
ทว่าเกมกับวัตฟอร์ดคือสถานการณ์ที่ต่างออกไปเพราะเกรดบอลอาร์เซน่อลเหนือกว่าและนำก่อนด้วย 2-0
มีสถิติที่น่าตกใจกว่านั้นคือ จาก 31 ครั้งที่วัตฟอร์ดได้ลุ้นยิงก็ทำให้อาร์เซน่อลโดนคู่แข่งส่องลุ้นประตูรวม 96 ครั้งจาก 5 นัด มากกว่าทุกทีมใน 5 ลีกใหญ่ยุโรปฤดูกาลนี้
อาร์เซน่อลแย่ทั้งในภาพรวมและรายบุคคล หลายคนทำผลงานได้น่าผิดหวังไม่ว่าจะเป็น มัตเตโอ เก็นดูซี่, กรานิต ชาคา, นิโกล่าส์ เปเป้ ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องเน้นย้ำถึง โซคราตีส กับ ดาวิด ลุยซ์ ให้มากไปกว่านี้เพราะเห็นชัดอยู่แล้ว
คุณภาพฝีเท้าของอาร์เซน่อลมีมากกว่า แต่เลือกวิธีการเล่นที่ผิดและถูกแก้ลำได้ง่าย การต่อบอลจากแดนหลังของอาร์เซน่อลมีความเสี่ยงเกินไปเพราะการจะเล่นแท็กติกนี้ต้องมีทักษะในการเปิดบอลที่แม่น เอาตัวรอดเก่ง แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และสามารถสลับใช้แผนสองวางยาวได้ มีความยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องยึดรูปแบบเดิมตลอดทั้งเกม
แต่อาร์เซน่อลไม่สามารถทำได้อย่างที่ไล่เรียงมาทั้งที่ เอเมรี่ พยายามเล่นแท็กติกนี้มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนซึ่งในหลายต่อหลายนัดก็มีพลาดแบบนี้ อยู่ที่ว่าจะถูกคู่แข่งลงโทษต่อหน้าต่อตาแบบวัตฟอร์ดหรือไม่
ครึ่งหลังของอาร์เซน่อลเล่นกันไร้รูปทรงอย่างสิ้นเชิง ต่างคนต่างเล่น ไม่มีทีมเวิร์ก ไม่มีความเข้าใจกัน และเล่นกันแบบกล้าๆ กลัวๆ เหมือนมวยที่เอาแต่วิ่งเข้ามุมเพราะยืนแลกกลางเวทีก็มีแต่โดน
ฝีเท้าดีกว่า ประสบการณ์มากกว่า ชื่อเสียงและค่าเหนื่อยมากกว่า แต่อาร์เซน่อลแพ้วัตฟอร์ดในเรื่องวิธีการเล่นและหัวจิตหัวใจของนักสู้
เป็นการฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวังและห่วยแตกสิ้นดี
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT