ถึงเวลาต้องเลือกทางเดินใหม่
เอมิ มาร์ติเนซ ย้ายจากบ้านเกิดในอาร์เจนตินามาเผชิญชีวิตใหม่ในยุโรปตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอย่างมากสำหรับเด็กหนุ่มอายุเพียงเท่านี้
เด็กหนุ่มจากเมืองมาร์ เดล พลาตา มีแรงกระตุ้นสำคัญ 2 อย่างที่ทำให้ตัดสินใจคือ ต้องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และอยากหารายได้จุนเจือครอบครัว
ก่อนหน้านี้ เอมิ เคยเปิดใจว่าครอบครัวของเขามีปัญหาการเงินอย่างหนัก และเขาไม่อยากเห็นภาพชีวิตความเป็นอยู่อันขัดสนแบบนี้จึงได้ตัดสินใจตอมรับข้อเสนอของ อาร์เซน่อล ในปี 2010
"แม่ของผม ซูซาน่า และพี่ชาย อเลฮานโดร พากันร้องไห้เมื่อรู้ว่าผมตัดสินใจจะมาค้าแข้งที่ลอนดอน และได้แต่อ้อนวอนผมว่าอย่าไป แต่ในขณะเดียวกันมันเป็นสิ่งที่ผมต้องตัดสินใจเพราะผมเห็นพ่อของผมร้องไห้กลางดึกอยู่บ่อยครั้งจากการไม่มีเงินที่จะใช้จ่ายภายในครอบครัว"
"ช่วงที่เล่นให้สโมสร อินดิเพนเดนเต้ ผมต้องพักอยู่ในบัวโนสไอเรส จึงได้เจอหน้าครอบครัวแค่สองครั้งต่อเดือน เพราะไม่สามารถจ่ายค่าเดินทางจากบ้านใน มาร์ เดล พลาต้า ซึ่งอยู่ห่างราว 400 กิโลเมตร ได้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมต้องคว้าโอกาสที่ อาร์เซน่อล มอบให้เอาไว้"
เส้นทางค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องอยู่ในทีมเยาวชนนาน 2 ปีเต็มกว่าจะได้โอกาสลงเล่นเกมลีกครั้งแรกในท้ายฤดูกาล 2011/12 ที่เป็นการเล่นให้ อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นจาก อาร์เซน่อล
แรงผลักดันทุกอย่างมาจากครอบครัว
ฤดูกาล 2012/13 มาร์ติเนซ ได้ขึ้นชุดใหญ่ของ อาร์เซน่อล แต่เป็นเพียงมือ 4 ของทีมต่อจาก วอยเชียจ เชสนี่, ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ และ วีโต้ มานโนเน่ ก่อนได้โอกาสประเดิมสนามในลีก คัพ รอบ 3 ที่ชนะ โคเวนทรี 6-1 ต่อด้วยรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บุกชนะ เร้ดดิ้ง ในช่วงต่อเวลาด้วยสกอร์มโหฬาร 7-5
ช่วง 6 ฤดูกาลระหว่าง 2013/14 จนถึง 2018/19 สถานะของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ คือ "สำรองตลอดกาล" เขาต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของ มานูเอล อัลมูเนีย, วีโต้ มานโนเน่, วอยเชียจ เชสนี่, ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้, ดาวิด ออสปิน่า, ปีเตอร์ เช็ค และ แบรนด์ เลโน่ มาโดยตลอด
เคยมีสถานะเป็นมือ 2, 3 และ 4 มาหมด แต่ไม่เคยเป็น "มือหนึ่ง" ของทีม ขณะเดียวกันก็ถูกปล่อยยืมตัวทั้งหมด 6 รอบในการไปเล่นให้ อ็อกซ์ฟอร์ด, เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์, ร็อตเตอร์แฮม ยูไนเต็ด, วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส, เคตาเฟ่ และ เร้ดดิ้ง
ตลอด 9 ปีแรกที่อยู่กับ อาร์เซน่อล เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ได้ลงเฝ้าเสาทั้งหมดเพียง 14 นัดในทุกรายการ และเป็นการลงตัวจริงเกมพรีเมียร์ลีกเพียง 5 นัดเท่านั้น
ช่วงแรกกับทีมที่ยังละอ่อน
แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นในท้ายฤดูกาลที่แล้ว
แบรนด์ เลโน่ มือหนึ่งชาวเยอรมันโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักในช่วงเริ่มต้นรีสตาร์ทพรีเมียร์ลีกที่กลับมาแข่งหลังโควิด-19 ระบาด ไม่มีใครอยากให้อาการบาดเจ็บเกิดขึ้น แต่ในอีกมุมก็เป็นโอกาสของ มาร์ติเนซ ที่จะต้องทำหน้าที่แทน
"เราซ้อมด้วยกันทุกวัน เราสนับสนุนกันและกัน เรามีกลุ่มแชท WhatsApp เฉพาะสำหรับผม, แบรนด์ และ แม็ตต์ (เมซี่) ด้วย มันคือเรื่องที่เสียหายมากจริงๆ ในฐานะผู้รักษาประตูด้วยกันไม่มีใครอยากให้เขาเจ็บหรอก มันเป็นความสูญเสียต่อทีมเรา" มาร์ติเนซ กล่าวถึง เลโน่
ในฤดูกาลที่ 10 กับ อาร์เซน่อล เอมิ มาร์ติเนซ เพิ่งได้โอกาสลงเฝ้าเสาจริงจังต่อเนื่องเพราะ เลโน่ ต้องพักยาวจนจบฤดูกาล และนายทวารอาร์เจนไตน์ก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง
มาร์ติเนซ ทำหน้าที่ป้องกันประตูได้อย่างยอดเยี่ยม แทบไม่ก่อความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น มีจังหวะเซฟยากๆ หลายครั้งและพาทีมแอบลุ้นโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ช่วงนึงก่อนสุดท้ายจบอันดับ 8 ของตาราง
อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าในเอฟเอ คัพ ที่ฝ่าด่านหลายทีมจนถึงตำแหน่งแชมป์สมัย 14
เอมิ มาร์ติเนซ เฝ้าเสาให้ทีมอยู่แล้วในรายการนี้ตลอด 3 นัดแรกก่อนโควิด และทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมอีกครั้งในรอบก่อนรองชนะเลิศ และ 2 รอบสำคัญที่เวมบลีย์ทั้งตัดเชือกกับชิงชนะเลิศ
หลังจบเกมรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ ที่ อาร์เซน่อล พลิกชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 พร้อมคว้าตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่มีส่วนอย่างยิ่งในชัยชนะแทบบรรยาความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่ได้
"อารมณ์เอ่อล้นเลยนะ ไม่ใช่เพียงว่าเราเอาชนะซิตี้ที่เป็นหนึ่งในยอดทีมของยุโรปตอนนี้ได้ แต่ที่มากกว่านั้นเพราะการที่ผมต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศกับสโมสรที่ผมรัก"
"เป็นเวลา 10 ปีนับจากผมย้ายมาร่วมทีมและเมื่อเสียงนกหวีดยาวจบเกมดังขึ้น ทุกอย่างก็พรั่งพรูในหัว"
"ผมปรารถนาให้แฟนบอลและครอบครัวของผมได้อยู่ในสนามรอบชิงชนะเลิศด้วย แน่นอนว่าด้วยผู้คน 90,000 หรือ 80,000 คนที่เวมบลีย์ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวัน"
"ผมอยากให้ครอบครัวมาอยู่ในสนามด้วย อย่างที่ผมบอก เรามาจากครอบครัวที่จนมาก ยากจนสุดๆ และการที่พวกเขาได้เห็นผมคว้าแชมป์ต่อหน้าแฟนบอล 90,000 คนและได้เหรียญรางวัลก็คงเป็นสิ่งที่พิเศษ"
"ผมจดจำวันที่ประเดิมสนามในแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบ อันเดอร์เลชท์ ได้เป็นอย่างดี พ่อของผมนั่งเครื่องบินนาน 27 ชั่วโมงเพื่อไปดูเกมนั้น (ที่เบลเยียม) เขาก็ร้องไห้ออกมาตลอด 95 นาทีเลย"
"ผมจากบ้านมาไกลมาก ด้วยมาตรการล็อกดาวน์เลยทำให้ผมไม่ได้เจอพ่อกับแม่มานานร่วมปี มันก็ยากนะ แต่ผมพยายามนึกถึงพวกท่านเสมอเมื่อได้ลงสนาม"
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ไม่หยุดเพียงแค่รอบรองฯ เพราะในรอบชิงชนะเลิศ เขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งพาทีมเอาชนะ เชลซี ไปได้ 2-1 ครองแชมป์เอฟเอ คัพ โดยที่ตัวเองมีส่วนร่วมเต็มที่
ก่อนถึงฤดูกาลล่าสุด เอมิ มาร์ติเนซ ไม่เคยลงเล่นเอฟเอ คัพ มาก่อนเลย แต่เขาได้ลงเฝ้าเสาตลอด 6 นัดที่ อาร์เซน่อล เป็นแชมป์ปีล่าสุด โดยลงสนามทั้งหมด 23 นัดในทุกรายการ มากกว่า 9 ปีก่อนรวมกันทั้งหมด
การอดทนมานานนับสิบปีของ มาร์ติเนซ ไม่สูญเปล่า เขาได้ฉลองแชมป์กับทีมรักในที่สุด และทันทีที่การแข่งขันจบลง เขาปลีกตัวออกจากสปอตไลท์ที่เพื่อนร่วมทีมกำลังฉลองแชมป์สุดเหวี่ยงเพื่อวีดีโอคอลหาครอบครัวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
“ผมทำงานอย่างหนักกับสโมสรมาตลอด 10 ปีเพื่อโอกาสนี้ ผมโทรคุยกับครอบครัวมาตลอดทั้งสัปดาห์ และผมกล้าพูดได้เลยว่าทุกคนในครอบครัวที่อาร์เจนติน่ากำลังร้องไห้อยู่แน่นอน"
มาร์ติเนซ ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาหลังถูกถามถึงความรู้สึกและครอบครัว เขาพูดเพียงสั้นๆว่า "เรื่องครอบครัวของผม ผมไม่สามารถพูดได้จริงๆ ขอโทษด้วยครับ" ก่อนจะเดินปลีกตัวออกไป
การทำหน้าหนักของ มาร์ติเนซ เป็นสิ่งที่ภรรยาของเขายืนยันได้เพราะช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดจนทำให้ทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน ขณะที่นักฟุตบอลก็ต้องพยายามรักษาสภาพความฟิตและปรับเปลี่ยนรูปแบบการซ้อมตัวเองใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
หลั่งน้ำตาที่เวมบลีย์
"ผมฝึกซ้อมอย่างหนักระหว่างช่วงล็อคดาวน์จนภรรยาถามว่า 'เธอเป็นผู้รักษาประตูสำรองทำไมถึงต้องฝึกซ้อมหนักขนาดนี้?' ก่อนที่ผมจะตอบไปว่า 'ผมต้องทำให้ตัวเองพร้อมอยู่เสมอ และเชื่อว่าเมื่อมีโอกาสผมจะทำมันได้ดีที่สุด'
เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ได้รับผลตอบแทนในสิ่งที่ควรได้ เขาคู่ควรได้รับรางวัลและโอกาสที่เกิดจากการทุ่มเทมานานหลายปี และตอนนี้ "โอกาส" ก็ไม่ได้มีเพียงที่ อาร์เซน่อล หากแต่หลายต่อหลายทีมต่างหยิบยื่นให้หลังพิสูจน์ผลงานให้เห็นแล้วว่าดีเกินกว่าจะเป็นสำรองต่อไป
การฟิตกลับมาอีกครั้งของ แบรนด์ เลโน่ เป็นเรื่องดีสำหรับ มิเกล อาร์เตต้า แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ทำให้กุนซือหนุ่มตัดสินใจลำบากกับการมีผู้รักษาประตูฝีมือดี 2 คนในทีม ทั้งสองคู่ควรกับการได้ลงตัวจริง แต่ขณะเดียวกันก็น่าเสียดายและน่าเห็นใจที่อีกคนต้องเป็นสำรอง
การย้ายออกจากทีมเพื่อไปทำหน้าที่ "มือหนึ่ง" กับสโมสรอื่นเต็มตัวจึงเป็นทางเลือกที่หลายคนเข้าใจตรงกันว่า "คงที่เวลาแล้วจริงๆ"
มาร์ติเนซ อดทนรอโอกาสของตัวเองมานานพอแล้ว เขาควรได้โอกาสอย่างเต็มที่ต่อจากนี้ แต่ถ้าโอกาสในการเป็นมือหนึ่งที่ อาร์เซน่อล ยังไม่ชัดเจนเนื่องด้วย เลโน่ ก็ฝีมือไม่ธรรมดา การเลือกเดินบนเส้นทางใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายอมแพ้ในการแย่งตำแหน่ง แต่มันเป็นการแสดงความชัดเจนในตัวเองว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับการเป็นตัวเลือกแรก
ถึงเวลาแล้วที่ มาร์ติเนซ จะต้องลงเล่นอย่างสม่ำเสมอเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพและเป็นการเปิดทางให้ตัวเองได้เป็นตัวหลักในทีมชาติอาร์เจนตินาหลังเคยถูกเรียกติดทีมชุดใหญ่มาบ้าง แต่ยังไม่เคยลงเล่น
รางวัลตอบแทนความอดทนและความพยายาม
ขณะเดียวกัน การตอบรับข้อเสนอของ แอสตัน วิลล่า ก็ทำให้ อาร์เซน่อล ได้เงินจำนวนหนึ่งสำหรับการนำไประดมทุนเสริมทัพต่อไปซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ มิเกล อาร์เตต้า ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของทีมโดยเฉพาะแดนกลางที่กำลังพยายามดึง โธมัส ปาร์เตย์ และอาจรวมถึง ฮุสเซม อาอูอาร์ มาร่วมทีม
แม้เป็นสิ่งน่าเสียดายที่ต้องเสียผู้รักษาประตูในช่วงเวลากำลังมั่นใจและทำผลงานได้ดีแบบนี้ออกจากทีม แต่เชื่อว่าทุกคนก็เข้าใจได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
การย้ายออกไปของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ จะไม่มีความรู้สึกในด้านลบใดๆ เพราะความรู้สึกที่ควรเกิดขึ้นคือต้อง "ขอบคุณ" สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อทีม
ขอบคุณสำหรับการอดทนรอโอกาสของตัวเองมานานหลายปี และไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อได้รับโอกาส
ขอบคุณจากใจและขอให้โชคดีกับเส้นทางใหม่..."เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT