:::     :::

แพ้ให้กับทีมที่ดีกว่า

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล แพ้เป็นนัดแรกของฤดูกาลนี้ในเกมที่ผู้ชนะอย่าง ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่า สมบูรณ์แบบกว่า และสมควรเป็นผู้ชนะ

ทั้งสองทีมเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ด้วยการชนะรวด 3 นัด แบ่งเป็นในลีก 2 นัดและบอลถ้วยคาราบาว คัพ อีก 1 นัด ก่อนเป็น ลิเวอร์พูล รักษาสถิติชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ต่อไป

ในความปราชัยของ อาร์เซน่อล มีหลายประเด็นน่าสนใจเกิดขึ้น ดังนี้ 


1. การจัดทัพเน้นรับของ อาร์เตต้า 

มิเกล อาร์เตต้า เลือกแท็กติกเดิมในการสู้กับ ลิเวอร์พูล คือการตั้งรับให้แน่น และรอโจมตีในจังหวะโต้กลับซึ่งเคยได้ผลในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ รวมถึงเอฟเอ คัพ 2 นัดที่พลิกชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี

อาร์เซน่อล จำเป็นต้องเล่นแท็กติกนี้เพราะไม่ได้มีศักยภาพมากพอที่จะเปิดหน้าแลกกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเคยพยายามทำมาแล้วและจบด้วยฝันร้ายพ่ายหมดรูปแบบสู้ไม่ได้ 

อาร์เตต้า เลือก โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ กองกลางตัวรับชาวอียิปต์ที่เล่นได้ดีในช่วงต้นฤดูกาล ลงตัวจริงก่อน ดานี่ เซบายอส ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเน้นเกมรับมากยิ่งขึ้น 

ขณะที่แผงเกมรับก็เลือกผู้เล่นที่เคยเล่นร่วมกันบ่อยครั้งกับระบบ 3 เซนเตอร์แบ็กคือ คีแรน เทียร์นี่ย์ ที่หายเจ็บกลับมาพอดี ประสานงานกับ ดาวิด ลุยซ์ และ ร็อบ โฮลดิ้ง ทำให้ผู้มาใหม่อย่าง กาเบรียล มากัลเญส ที่เล่นได้ดีในเกมลีก 2 นัดแรก หลุดเป็นสำรอง 

อาร์เตต้า มองว่าการเลือก เทียร์นี่ย์ ลงเล่นเป็นสต็อปฝั่งซ้ายทำให้สามารถเล่นในแท็กติกที่เคยทำได้ดีกับการขึ้นเกมฝั่งซ้ายที่ต้องเล่นร่วมกับ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนลส์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง 

ในเกมใหญ่และมีความกดดันแบบนี้ การเลือกผู้เล่นที่มีประสบการณ์และเคยเล่นร่วมกันมาก่อนคือเหตุผลที่เข้าใจได้ 


ลากาแซ็ตต์ ได้ส้มหล่นกับประตูนำของ อาร์เซน่อล

2. ลิเวอร์พูล ทำได้สุดกว่าในแท็กติกตัวเอง 

รูปเกมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่หลายคนคาด ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายโหมรุกเข้าใส่ตั้งแต่ต้นตามสไตล์ฟุตบอลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ขณะที่ อาร์เซน่อล ตั้งรับและไม่ได้เป็นฝ่ายคอนโทรลการเล่น

ในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่เจอกันเมื่อปลายเดือนสิงหาคม อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าในแท็กติกของตัวเองเมื่อชิงจังหวะขึ้นนำก่อนจาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ก่อนชนะในการดวลจุดโทษ

แต่เกมดังกล่าว ความจริงจังในเรื่องผลการแข่งขันและความฟิตของนักเตะยังไม่เต็มร้อย ต่างจากนัดนี้ที่เข้าสู่ฤดูกาลแข่งขันเต็มตัวและเป็นเกมที่แอนฟิลด์ซึ่ง ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครมายาวนานเกิน 3 ปีแล้ว 

คล็อปป์ เล่นได้ตามศักยภาพที่มี ตัวผู้เล่นอาจไม่สมบูรณ์เต็มร้อยเพราะขาดทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เจ็บ ขณะที่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็ฟิตไม่ทัน แต่ระบบการเล่นแน่นปึ้ก ทุกคนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีว่าต้องทำอย่างไรทั้งตอนที่ครองบอลและไม่ได้ครองบอล

ลิเวอร์พูล เล่นได้สมบูรณ์แบบมากกว่าในแนวทางการเล่นของตัวเอง การเสียประตูไปก่อนจากความผิดพลาดของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำให้จังหวะสะดุดเพียงเล็กน้อย พวกเขาตอบโต้คืนได้เร็วด้วยประตูตีเสมอและพลิกนำในช่วงเวลาไม่ถึงสิบนาทีหลังปืนใหญ่นำก่อน  

ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เล่นได้ตามศักยภาพของตัวเอง พวกเขาจึงเหนือกว่า อาร์เซน่อล หรือคู่แข่งทีมใดก็ตามแบบชัดเจน โอกาสทำประตูเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 90 นาที


ลิเวอร์พูล พลิกแซงนำได้เร็ว

3. คุณภาพทั้งสองทีมที่ต่างกัน

ว่ากันตามคุณภาพโดยรวมแล้ว ลิเวอร์พูล แข็งแกร่งกว่า อาร์เซน่อล และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เป็นฝ่ายชนะเพราะเล่นได้ดีกว่า สร้างโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน และมีความผิดพลาดน้อยกว่า

2 ประตูแรกที่ อาร์เซน่อล น่าจะป้องกันได้ดีกว่านี้ไม่ว่าจะเป็นประตูแรกที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กระชากหนี คีแรน เทียร์นี่ย์ ก่อนยิงติดเซฟแล้วเด้งเข้าทาง ซาดิโอ มาเน่ ได้ซ้ำจ่อๆ หรือประตูที่ 2 ที่ เอคตอร์ เบเยริน พะวงการเปิดบอลของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จนหุบเข้าในเกินไป ปล่อยให้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน วิ่งสอดมายิงโล่งๆ  

แต่หากไม่ใช่ 2 ประตูนี้ ลิเวอร์พูล ก็สร้างโอกาสได้อีกเพียบและเกือบได้ประตู 4, 5 และ 6 เพราะสามารถเล่นในเกมของตัวเองได้ บดขยี้ได้ต่อเนื่อง ค่อยๆ เปิดแผล อาร์เซน่อล 

แบ็ก 2 ข้างที่เป็นจุดเด่นอยู่แล้ว เติมเกมรุกได้ตลอดเวลา ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ มีความเข้าใจในการเล่นสูงมาก อีกทั้งความสามารถเฉพาะตัวจัดจ้าน 

อาร์เซน่อล ทำเต็มที่ตามศักยภาพที่ทำได้แล้ว แต่ ลิเวอร์พูล มีคุณภาพเหนือกว่าทั้้งในเรื่องทีมเวิร์ก ความละเอียดในการเล่น (ไม่ทุ่มพลาดง่ายๆ ถึง 2 ครั้งแบบ เอคตอร์ เบเยริน) สปีดบอล หรือความสามารถทักษะส่วนตัว ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็แก้ลำ มิเกล อาร์เตต้า ได้สำเร็จ

คล็อปป์ รู้อยู่แล้วว่า อาร์เตต้า ต้องเล่นด้วยการต่อบอลขึ้นมาจากเขตโทษตัวเองเพราะไม่ต้องการโยนยาวแล้วเสียบอลง่ายซึ่งการเล่นแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในหลายครั้งที่เจอทีมเพรสซิ่งเก่งๆ แบบ ลิเวอร์พูล ก็ทำให้การบิวด์อัพเกมขึ้นมาของ อาร์เซน่อล ทำไม่ได้อย่างที่เคยทำได้

ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไล่กดดันถึงตัวกองหลัง อาร์เซน่อล ในทุกจังหวะ แต่รู้ว่าจังหวะใดควรโหม จังหวะใดควรประคอง เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่ความฟิตเริ่มได้ที่ ทีมของ คล็อปป์ จึงเล่นในสไตล์นี้ได้ตามต้องการ 

เมื่อบอลของ อาร์เซน่อล ขึ้นหน้าไม่ได้ ตัวรุกก็ต้องลงต่ำมาช่วยล้วงบอลและเล่นเกมรับมากขึ้น จังหวะสวนกลับจึงต้องใช้แรงยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าบทบาทในเกมรุของ โอบาเมย็อง และ วิลเลี่ยน มีน้อยมาก 


ลากาแซ็ตต์ พลาดโอกาสนี้อย่างน่าเสียดาย

4. เมื่อมีโอกาสต้องคว้าให้ได้ 

อาร์เซน่อล ทำได้ดีขึ้นในครึ่งหลังที่มีจังหวะครองบองเซตเกมกันได้ เอาตัวรอดจากการบีบพื้นที่ของ ลิเวอร์พูล ในหลายจังหวะ และมีโอกาสจะแจ้งในการตามตีเสมอ 2-2

มิเกล อาร์เตต้า ปรับแท็กติกในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่ส่ง ดานี่ เซบายอส ลงมาช่วยเกมรุกมากขึ้น แทนที่ตำแหน่งของ กรานิต ชาคา ที่มี 2-3 จังหวะโดนรุมแล้วเสียบอล 

เซบายอส สร้างโอกาสที่ดีมากเมื่อแทงบอลตัดแนวรับ ลิเวอร์พูล ให้ ลากาแซ็ตต์ หลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับ อาลีสซง เบ็คเกอร์ แต่หัวหอกชาวฝรั่งเศสยิงไปติดเซฟนายทวารหงส์แดงอย่างน่าเสียดาย

นี่คือโอกาสที่น่าเสียดายสำหรับ อาร์เซน่อล เพราะหากทำได้จะทำให้กลับสู่เกมเต็มตัว ก่อนหน้านั้นเพราะรูปเกมเริ่มปะติดปะต่อได้บ้างแล้ว ขณะที่สกอร์ก็ตามหลังเพียงลูกเดียว 

สภาพนั่งหมดอาลัยตายอยากถลกเสื้อเอามาคลุมหน้าบ่งบอกได้อย่างดีว่า ลากาแซ็ตต์ ผิดหวังกับจังหวะทองฝังเพชรของตัวเองอย่างมาก ฤดูกาลนี้เขาเริ่มต้นได้น่าพอใจยิงได้ตลอด 3 นัดแรกในลีก แต่จังหวะที่สำคัญสุดๆ กลับพลาดไป

อาร์เตต้า ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองที่ ลากาแซ็ตต์ เพียงแต่รู้สึกเสียดายกับโอกาสแบบนี้เพราะในเกมยากอย่างการมาเยือน แอนฟิลด์ มันไม่มีทางที่จะได้โอกาสมากนัก ดังนั้นเมื่อมีแล้วต้องคว้าเอาไว้ให้ได้


อาร์เตต้า ได้เห็นความแตกต่างจาก ลิเวอร์พูล

5. อาร์เซน่อล แพ้แต่ไม่โลกไม่แตก

แน่นอนว่าทุกความพ่ายแพ้นำมาซึ่งความผิดหวังเพราะด้วยโมเมนตัมในช่วงท้ายฤดูกาลก่อนจนถึงเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ นักเตะ อาร์เซน่อล หลายคนต่างมั่นใจว่าจะมีผลการแข่งขันที่ดีในการมาเยือน ลิเวอร์พูล 

แต่ท้ายที่สุด อาร์เซน่อล ลงเอยด้วยมือเปล่า และไม่สามารถบุกชนะที่แอนฟิลด์ได้เลยนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือคนปัจจุบัน ยังเล่นให้กับทีมอยู่เลย 

อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อล ต้องยอมรับว่าแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่า คู่ควรชัยชนะมากกว่า และไม่มีอะไรให้ต้องโต้แย้งนอกเสียจากต้องกลับมาทบทวนความผิดพลาดและข้อบกพร่องของตัวเอง

ทีมของ อาร์เตต้า แพ้นัดนี้ยังไม่เสียหายมากนักเพราะเป็นต้นฤดูกาล ยังมีอีกหลายเกมให้ไล่เก็บคะแนน และการมาเยือน ลิเวอร์พูล ก็เป็นงานยากที่สุดในฤดูกาลแล้ว ผ่านเกมยากสุดในตอนนี้ดีกว่าไปเจอกันในช่วงที่สถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบมากกว่านี้ เช่น ช่วงโปรแกรมชุก มากขึ้น นักเตะตัวหลักเจ็บ หรืออยู่นอกตลาดนักเตะที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนทีมอะไรได้ 

สกอร์ 1-3 เป็นสกอร์เดียวกับปีที่แล้ว แต่การเล่นมีทิศทางที่ดีกว่า พอมองเห็นด้านบวกว่าสามารถกลับมาเล่นในแบบที่ต้องการได้ เช่นเดียวกับการเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการ  

อย่างที่ อาร์เตต้า ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้รวมตัวกันมา 5 ปีแล้ว ขณะที่ อาร์เซน่อล อยู่ด้วยกันไม่กี่เดือน ช่องว่างระหว่างทั้งสองทีมจึงใหญ่พอสมควร 

ลิเวอร์พูลในช่วง 1-2 ปีแรกก็ลองผิดลองถูก และล้มไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่ด้วยความเชื่อในแนวทางของตัวเอง และแรงสนับสนุนที่ดีจากสโมสรทำให้ก้าวมาถึงจุดที่สร้างมาตฐานระดับสูงเอาไว้ และเป็นมาตรฐานที่ อาร์เซน่อล ต้องออกแรงอย่างหนักและใช้เวลาอีกพอสมควรเพื่อไล่ตามให้ทัน 

"Not the end of the world to lose to a super Liverpool side"

"โลกไม่แตกในการแพ้ให้กับสุดยอดทีม ลิเวอร์พูล" 

คงต้องบอกแบบนี้จริงๆ


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})