:::     :::

เยือนทีมใหญ่ใจไม่ถึง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เป็นเวลา 29 นัดติดต่อกันหรือนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ อาร์เซน่อล ไม่สามารถบุกชนะทีมในกลุ่ม "บิ๊กซิกซ์" ได้เลยหลังเสียท่าต่อ แมนฯ ซิตี้ ในนัดล่าสุด

ครั้งสุดท้ายที่บุกชนะทีมใหญ่ด้วยกันได้เป็นเกมบุกชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 เมื่อวันที่ 18 มกราคม ปี 2015 ซึ่งตอนนั้น มานูเอล เปเยกรินี่ ยังได้ชื่อว่าเป็นกุนซือของเรือใบสีฟ้า และ อาร์แซน เวนเกอร์ กุมบังเหียนปืนใหญ่ 

ผ่านไปถึงตอนนี้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาแทนตำแหน่งของ เปเยกรินี่ พร้อมกับมี มิเกล อาร์เตต้า เป็นผู้ช่วย จนกระทั่ง อาร์เตต้า แยกตัวออกมารับงานใหญ่เต็มตัวที่ อาร์เซน่อล ต่อจาก อูไน เอเมรี่ ที่ก็ทำหน้าที่หลังจาก อาร์แซน เวนเกอร์ อำลาตำแหน่ง อีกที

แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือ อาร์เซน่อล ยังควานหาชัยชนะในการไปเยือนทีมบิ๊กซิกซ์ด้วยกันไม่ได้ 

ไม่มีใครคาดคิดว่าในวันที่ ซานติ กาซอร์ล่า กดจุดโทษให้ทีมขึ้นนำ และเปิดบอลให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ โหม่งผังเรือใบคาบ้านเมื่อ 5 ปีก่อน จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เฮสุดเหวี่ยงในเกมบิ๊กแมตช์นอกบ้านตัวเอง

29 นัดที่ไม่ชนะ อาร์เซน่อล แพ้ไปถึง 19 นัด เสมอ 10 นัด เสียประตูรวม 65 ประตู และเก็บคลีนชีตได้เพียงนัดเดียว

ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ คริสตัล พาเลซ ทีมที่มีเป้าหมายหลักคือการเอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีก สามารถเก็บชัยชนะที่บ้านของทีมบิ๊กซิกซ์ได้ถึง 9 นัด 

นี่คือสถิติที่น่าตกใจของ อาร์เซน่อล และสะท้อนถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงตรงนี้ได้ แม้ในช่วงก่อนเกมจะดูเหมือนว่าน่าจะมีโอกาสทำได้

แมนฯ ซิตี้ ไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ตัวรุกสำคัญที่บาดเจ็บซึ่งที่ผ่านมามักฉีกเกมรับของ อาร์เซน่อล ขาดวิ่นเป็นประจำด้วยการออกแบบสุดอันตราย ขณะที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าตัวเก่งเพิ่งหายเจ็บกลับมาลงเล่นนัดแรกรอบ 4 เดือน 

มิเกล อาร์เตต้า จัดทัพปืนใหญ่แบบมีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยในการกลับไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นครั้งที่ 2 ในฐานะกุนซือ อาร์เซน่อล โดยที่ครั้งแรกพ่ายกลับออกมา 0-3 ในเกมที่ ดาวิด ลุยซ์ หลุดฟอร์มครบรูปแบบทั้งสกัดพลาดเสียประตู ทำเสียจุดโทษ และปิดท้ายได้ใบแดง


สเตอร์ลิ่ง ตามซ้ำเป็นประตูตัดสินเกม

อาร์เตต้า มีข่าวดีได้ คีแรน เทียร์นี่ย์ แบ็กซ้ายตัวเก่งลงเล่นได้หลังเจรจากับสมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์สำเร็จ ทำให้ไม่ต้องกักตัวครบ 14 วันจากกรณีที่ใกล้ชิดกับ สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง เพื่อนร่วมทีมที่ติดโควิด

เทียร์นี่ย์ จึงได้ยืนเป็น 3 เซนเตอร์แบ็กร่วมกับ กาเบรียล มากัลเญส และ ดาวิด ลุยซ์ โดยที่มี เอคตอร์ เบเยริน เป็นวิงแบ็กขวา ส่วนฝั่งซ้ายเลือกใช้ บูคาโย่ ซาก้า ก่อน เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส 

ในแดนกลาง โธมัส ปาร์เตย์ กองกลางรายใหม่ที่ได้มาจาก แอตเลติโก มาดริด ในวันปิดตลาด เริ่มต้นที่ข้างสนาม ดานี่ เซบายอส ยังได้จับคู่กับ กรานิต ชาคา

ส่วนแนวรุกเลือกส่ง นิโกล่าส์ เปเป้ ลงเล่นร่วมกับ วิลเลี่ยน และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ทำให้ทั้ง อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ที่เป็นตัวจริงเกมลีก 3 นัดแรก และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่เป็นตัวจริงนัดก่อนเบรกทีมชาติ นั่งสำรองทั้งคู่

จากรายชื่อที่ออกมา เปเป้ กับ วิลเลี่ยน น่าจะขึ้นเกมริมเส้น ขณะที่ โอบาเมยอง ขยับไปเล่นหน้าเป้า แต่เล่นจริงกลับเป็น วิลเลี่ยน ที่ปักหลักในตำแหน่งหน้าเป้ามากกว่า ขณะที่ โอบาเมย็อง ถูกวางบทบาทให้อยู่ริมเส้นฝั่งซ้ายเหมือนเดิม

นี่คือการทดลองแท็กติกใหม่ของ อาร์เตต้า ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควร การประสานงานกันในพื้นที่อันตรายของ แมนฯ ซิตี้ มีน้อย และไม่สามารถกดดันเจ้าถิ่นได้อย่างที่ควรจะเป็น 

โอบาเมย็อง ค่อนข้างเงียบอีกเกม และยิงประตูไม่ได้เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันในลีก มีการตั้งข้อสังเกตว่านับตั้งแต่ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปพร้อมรับค่าเหนื่อย 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ฟอร์มการเล่นและความเฉียบคมของหัวหอกทีมชาติกาบองดูดร็อปไป ไม่เหมือนเดิม

ขณะที่ วิลเลี่ยน แม้จะมีการขยับหาพื้นที่ และเล่นด้วยความตื่นตัวอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก และไม่มีโอกาสได้ง้างเท้าสับไกลุ้นประตูเลย

ส่วน เปเป้ ที่ขึ้นเกมรุกทางฝั่งขวาก็เหมือนเดิม การเล่นร่วมกับทีมมีน้อย การพยายามฝืนไปเองทำให้เสียบอลบ่อย โดนตัดได้ง่าย มีโอกาสทั้งยิงและโหม่รวม 3 ครั้งแต่ไม่เป็นประตู 

กลายเป็นว่าคนที่โดดเด่นสุดในการช่วยเกมรุกคือ บูคาโย่ ซาก้า ที่ช่วงเบรกทีมชาติที่ผ่านมาได้โอกาสประเดิมสนามในทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต 


ซาก้า เสียดายโอกาสที่ถูกปฏิเสธไป

ซาก้า เล่นในตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย โดยที่หลายจังหวะหุบเข้าไปเล่นเป็น 1 ในแผงกองกลางร่วมกับ ชาคา และ เซบายาส จนเหมือนกับ อาร์เตต้า ปรับแท็กติกเป็น 4-3-3 

แข้งดาวรุ่งวัย 19 ปี กล้าเล่น กล้าเลี้ยงลุย เอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่กดดัน และเกือบทำประตูให้ทีมในครึ่งแรกจากจังหวะลากลุยเลี้ยงตัดจากซ้ายเข้าเขตโทษไปยิงกะให้แสกหน้า เอแดร์ซอน แต่นายทวาร แมนฯ ซิตี้ ยังซูเปอร์เซฟปัดบอลข้ามคานไปได้ ส่วนอีกจังหวะที่ทำชิ่งกับ โอบาเมย็อง ก็โดนนายทวารเรือใบปฏิเสธไปอีก 

ในช่วงท้ายฤดูกาลก่อนจนถึงต้นฤดูกาลนี้ อาร์เตต้า วางแท็กติกสู้กับทีมใหญ่ได้ดี ตั้งรับแน่น โต้กลับเฉียบขาด มีแผนการเล่นชัดเจนในการสู้กับทีมที่ศักยภาพโดยรวมเหนือกว่า แต่เกมนี้พวกเขาโดน แมนฯ ซิตี้ ปิดเกมรุกได้หลายครั้ง 

การปรับมาเล่นหลัง 3 ของ เป๊ป ทำให้แผงแนวรับสามารถคุมโซนตัวรุกของ อาร์เซน่อล ได้แบบตัวต่อตัว ขณะที่แดนกลางขยับให้ ชูเอา กานเซโล่ ที่ปกติเล่นตำแหน่งแบ็ก เข้าไปตัดเกมช่วย โรดรี้ โดยที่มี ฟิล โฟเด้น และ ริยาร์ด มาห์เรซ ซึ่งต่างมีความคล่องตัวสูงเล่นวิงแบ็ก ส่วน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ถูกดันขึ้นหน้าประสานงานกับ อเกวโร่ "กุน" ที่แม้ร้างสนามไปนาน แต่ก็ประมาทไม่ได้

เกมของ แมนฯ ซิตี้ มีความต่อเนื่องในเกมรุกมากกว่า การขาด เดอ บรอยน์ อาจทำให้ลูกเปิดแบบทะลุทะลวงหายไป แต่การประสานงานของผู้เล่นคนอื่นยังทำได้ดีโดยเฉพาะเจ้าหนู โฟเด้น ที่ฉายอย่างเต็มที่ เล่นได้อย่างคล่องแคล่วและมั่นใจ ทำให้การเล่นเกมรุกของทีมมีความไหลลื่น

จังหวะได้ประตูของ แมนฯ ซิตี้ ที่มาจากการซัดของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ต้องให้เครดิต ฟิล โฟเด้น ที่ล็อกหนี เอคตอร์ เบเยริน จนหลังหักก่อนยิงติดเซฟ แบรนด์ เลโน่ แล้วเด้งเข้าทาง สเตอร์ลิ่ง ซ้ำดาบสอง


ปาร์เตย์ ได้ประเดิมสนามน้อยไปนิด

การได้ประตูนำของ แมนฯ ซิตี้ ทำให้ผู้เล่นเกมรุกได้อย่าฮึกเหิมมากขึ้น และทำเกมเหนือกว่า อาร์เซน่อล อยู่พักใหญ่ ทว่าไม่สามารถบวกเพิ่มได้ ส่วนปืนใหญ่ก็พลาดโอกาสตีเสมอโดยเฉพาะ 2 จังหวะของ ซาก้า 

หากไม่นับประตูที่เสียไป อาร์เซน่อล ต้าน แมนฯ ซิตี้ เอาไว้ได้พอสมควรใน 45 นาทีแรก และรักษาสกอร์ตามหลังเพียงลูกเดียว ครึ่งหลังยังมีโอกาส

อย่างไรก็ตาม เกมใน 45 นาทีสุดท้ายของปืนใหญ่ทำได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง พละกำลังในการเล่น "เนือย" ลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความดุดัน หรือกล้าได้กล้าเสีย ยังคงพยายามเซตเกมอย่างระมัดระวังจากแดนหลังขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่แล้วผ่านไปไม่เกินครึ่งสนามก็โดนตัดได้ เกมรุกจึงแทบไม่มีโอกาส

ช่วง 20 นาทีสุดท้าย อาร์เตต้า ส่งหน้าเป้าธรรมชาติอย่าง ลากาแซ็ตต์ ลงมาแทน วิลเลี่ยน ที่แทบหายจากเกมไปเลยในครึ่งหลัง แต่เกมรุกก็ยังไม่ได้ดีขึ้นไปมากกว่าเพราะเซตเกมโจมตีแนวรับ แมนฯ ซิตี้ ไม่สามารถทำได้ ลากาแซ็ตต์ จึงโดดเดี่ยวและได้สัมผัสบอลเพียง 4 ครั้ง 

โธมัส ปาร์เตย์ ได้ประเดิมสนามในช่วง 8 นาทีสุดท้าย แต่ไม่สามารถพลิกเกมอะไรได้แล้ว การเล่นโดยรวมของทีมตลอดครึ่งหลังดร็อปลงไปมาก เหมือนกับว่าพอใจแล้วกับการเสียไปเพียงประตูเดียว

อาร์เซน่อล ชุดนี้มีศักยภาพที่จะแบ่งคะแนนจาก แมนฯ ซิตี้ ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์มากนักได้ ขณะที่วิธีการเล่นก็เคยทำสำเร็จให้เห็นในรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ เมื่อฤดูกาลก่อน 

แต่ที่ต้องปรับเลยคือ ความมั่นใจ และแรงกระตุ้นในการเผชิญหน้ากับทีมใหญ่ โดยเฉพาะเกมนอกบ้านแบบนี้ อาร์เซน่อล ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเท่าที่ควรทั้งที่คู่แข่งก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เกมรับเสียประตูมากกว่าด้วยซ้ำ

การที่ไม่เคยบุกชนะทีมกลุ่มบิ๊กซิกซ์ด้วยกันทำให้ อาร์เซน่อล ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ เมื่อมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นก่อนเกม จึงไม่สามารถเล่นได้ตามศักยภาพ หรือด้วยความฮึกเหิมเหมือนเวลาเล่นในบ้าน นานวันเข้าจึงกลายเป็นอาการ "แหยง" ติดตัวในทุกครั้งที่เยือนทีมกลุ่มนำด้วยกัน

ที่ผ่านมา อาร์เตต้า ทำทีมได้ดีในหลายจุด สามารถนำ อาร์เซน่อล เดินหน้าไปในทิศทางที่หลายคนมองว่าถูกต้อง มีพัฒนาการเป็นรูปธรรมชัดเจน ขาดก็เพียงการเยือนทีมใหญ่ด้วยกันที่ยังเป็นปัญหามาตั้งแต่ปลายยุคของ เวนเกอร์ ต่อด้วย เอเมรี่ และมาถึง อาร์เตต้า ในปัจจุบัน

อาร์เตต้า ต้องหาจุดเปลี่ยนเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนลงสนามในเกมแบบนี้ให้ได้ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นว่าสามารถชนะได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว และใช้โอกาสในทุกวินาทีในสนามให้เต็มที่ ไม่ใช่พอใจแล้วกับการแพ้เพียงลูกเดียวกลับออกไป

หากปรับตรงนี้ได้ อาร์เซน่อล จะก้าวข้ามกำแพงที่เคยหลอกหลอนมาตลอด 5 ปี และจะเพิ่มความมั่นใจได้ยิ่งกว่าการชนะถล่มทลายในบ้านตัวเองแน่นอน 


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด