สะเทือนไทยลีก
ใช่แล้วครับ เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก ดราแกน บอสโควิช กับ ธีรศิลป์ แดงดา
รายแรก โชว์ฟอร์มได้ร้ายกาจสุดๆ ในฤดูกาลที่ผ่านมาเมื่อกระหน่ำไปถึง 38 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโว และทุบสถิติยิงสูงสุดในหนึ่งฤดูกาลของฟุตบอลไทยลีกลงราบคาบ
"โบเล่" ของแฟนบอลแบงค็อก ยูไนเต็ด เล่นได้ท็อปฟอร์มที่สุดในอาชีพค้าแข้งของตัวเองก็ว่าได้
ตอนที่ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ยิงไป 31 ประตูในฤดูกาลแรกกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เราก็ทึ่งกันสุดๆ แล้วและคิดว่าคงไม่มีใครอีกที่จะยิงแตะหลักสามสิบประตูแบบนี้
แต่ถัดมาเพียง 2 ฤดูกาล บอสโควิช ก็ทำให้เห็น และทุบสถิติดาวยิงเซาะกราวตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล ก่อนปิดงานด้วยตัวเลขเกือบสี่สิบประตู
เป็นสถิติการทำประตูที่ "โหดมาก" และทำให้หัวหอกชาวมอนเตเนโกรเนื้อหอมสุดๆ ไม่เพียงแค่ในไทย แต่ยังเตะตาต้องใจทีมต่างชาติที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาลดึงตัวไปร่วมทีม
เส้นทางค้าแข้งของ บอสโควิช น่าจะลงเอยในไชนิส ซูเปอร์ลีก ของจีนเพราะค่าตัวในตอนแรกที่บียูตั้งเอาไว้ถึง 50 ล้านบาท อาจจะมากเกินไปสำหรับหลายทีมในไทยด้วยกัน
จริงอยู่ว่าผลงานในฤดูกาลล่าสุดของ บอสโควิช ทะลักจุดเดือดเกินห้ามใจ แต่ด้วยอายุที่กำลังจะครบ 32 ปีในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ก็อาจเป็นการเสี่ยงหรือไม่กับเงิน "ครึ่งร้อยล้าน"
ดราแกน บอสโควิช ลา แบงค็อก ยูไนเต็ด ไปซบ การท่าเรือ เอฟซี
ขณะเดียวกัน สัญญาว่าจ้างใหม่ของ บอสโควิช กับ แบงค็อก ก็ยังไม่ลงตัว แฟนบียูเองหลายคนเริ่มทำใจว่าคงต้องเสียดาวซัลโวตัวเก่งออกไปแน่ แต่กระนั้นทุกคนเข้าใจดีถึงเส้นทางอาชีพโดยเฉพาะกับการไปเล่นในลีกที่มีมาตรฐานมากกว่า
แต่แล้ว เมื่อช่วงเที่ยงของวันอังคารที่ผ่านมา ดราแกน บอสโควิช ก็ยืนเคียงข้าง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี พร้อมชูผ้าพันสิงห์เจ้าท่ายืนยันถึงการย้ายทีมสุดเซอร์ไพรส์
ไม่ได้ไปจีน หรือลีกต่างชาติอื่น แต่จอดป้ายใกล้ๆ แถบคลองเตย และเขย่าขวัญสั่นประสาทกองหลังในไทยลีกต่อไป
ไม่มีการเปิดเผยเรื่องค่าตัวที่ท่าเรือต้องจ่าย แต่คาดว่าคงพอสมควร ขณะที่ค่าเหนื่อยว่ากันว่า "โบเล่" รับอยู่ที่ 55,000 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 2.16 ล้านบาท)
เป็นดีลที่ถูกใจแฟนบอลสิงห์เจ้าท่าอย่างยิ่ง และทำให้การเสริมทัพรับศึกฤดูกาล 2018 จัดหนักจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ก็ดึงแข้งชั้นดีทั้งไทยและเทศมาเรียกเสียงฮือฮาไม่ว่าจะเป็น นูรูล ศรียานเก็ม กับ บดินทร์ ผาลา 2 ตัวรุกดีกรีทีมชาติไทย รวมทั้ง คิม ซุง ฮวาน กองกลางเกาหลีใต้ และ เนบิญา บายรัม จากอุบล ยูเอ็มที
โดยเฉพาะในรายของ นูรูล ที่เป็นเจ้าของตำแหน่งแอสซิสต์สูงสุดในฤดูกาลที่ผ่านมา (17 ประตูเท่า ธีราทร บุญมาทัน) ที่เหมือนดึงมารอ ดราแกน บอสโควิช ยังไงยังงั้น
ได้ทั้งดาวซัลโวสูงสุด และแอสซิสต์สูงสุด แฟนบอลท่าเรือคงเรียกร้องของขวัญรับปีใหม่ที่ถูกอกถูกใจมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะที่ได้รับก็เกินความคาดหวังด้วยซ้ำ
จากนั้นในช่วงเย็น อีกดีลสุดฮือฮาก็เกิดขึ้น (อย่างเป็นทางการ) เมื่อ ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าทีมชาติไทยของ เอสซีจี เมืองทอง เซ็นสัญญายืมตัวย้ายไปเล่นให้ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า ในเจลีก 1 ของญี่ปุ่น เป็นเวลา 1 ปี
"มุ้ย" กลายเป็นนักเตะไทยคนที่ 2 ที่จะได้เล่นในเจลีกต่อจาก "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ "สอบผ่าน" กับครึ่งแรกในการเล่นให้ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่
"มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา แข้งไทยรายที่ 2 ที่จะได้ไปโชว์ฝีเท้าในเจลีก
ธีรศิลป์ กับ ลีกญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องใหม่บนโต๊ะสนทนาแฟนบอลชาวไทยเพราะด้วยมาตรฐานการเล่นที่เหนือกว่าแข้งไทยด้วยกัน หลายคนก็อยากเห็น "มุ้ย" ไปลองในลีกต่างแดนอีกสักรอบเพราะมุ้ยไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรอีกแล้วในไทยลีก
ก่อนหน้านี้ หัวหอกจอมเทคนิค เคยไปค้าแข้งกับอัลเมเรีย รวมถึงฝึกฝีเท้ากับแอตเลติโก มาดริด ที่สเปนมาแล้ว (ไม่ขอนับช่วงเวลากับ แมนฯ ซิตี้)
มุ้ย เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และได้เรียนรู้หลายอย่างมากกว่าตอนที่ไปอัลเมเรียซึ่งเต็มไปด้วยปัญหามากมาย และมาตรฐานฟุตบอลแดนกระทิงดุที่ห่างจากไทยลีกพอสมควร
แต่กับเจลีก และ มุ้ย ณ ตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า "น่ารักน่าลุ้น" ทีเดียว
แฟนบอลญี่ปุ่นรู้จักและให้การยอมรับดาวยิงทีมชาติไทยรายนี้ไม่น้อย และ "มุ้ย" ก็ถือว่ามีโปรโฟล์ยิ่งกว่า "เจ" ด้วยซ้ำ ขณะที่ปัจจัยอื่นในการช่วยปรับตัวที่ญี่ปุ่นก็ดูจะใกล้เคียงกับบ้านเรามากกว่าเมื่อเทียบกับสเปน
ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า ถือว่าเป็นทีมใหญ่ของญี่ปุ่น เป็นแชมป์เจลีกถึง 3 สมัยจาก 6 ปีหลังสุด ฤดูกาลที่ผ่านมาอาจดร็อปลงไป แต่แน่นอนว่าทีมระดับนี้พร้อมติดเครื่องกลับมาได้ไม่ยาก ขอเพียงปรับจูนทีมให้ถูกจุด
ที่สำคัญคือ ยอดทีมจากแดนซามูไรต้องการได้ "มุ้ย" ไปเล่นให้จริงๆ จนต้องเดินทางมาคุยและเซ็นสัญญาถึงประเทศไทย พวกเขาติดตามดูจนแน่ใจว่านี่คือตัวเลือกที่ใช่ ทำในแบบเดียวกับที่ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่ เฝ้าดูพัฒนาการของ "ชนาคุง" จนมั่นใจว่าถึงเวลาพอเหมาะพอดีในการดึงตัว
เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วของ "มุ้ย" สำหรับการเลือกรับโอกาสไปพิสูจน์ตัวเองในต่างแดนอีกครั้งเพราะไม่ว่าจะผลลัพท์สุดท้ายจะออกมาอย่างไรก็มีแต่ "ได้กับได้"
ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่หากันได้ง่ายๆ และเมื่อเวลาผ่านไปแล้วก็ไม่สามารถย้อนกลับมาอีก เมื่อมีโอกาสไขว้คว้าก็ต้องลอง ผิดถูกยังไงก็กลายเป็นสิ่งล้ำค่าในชีวิต
ถ้าไม่เวิร์กก็จะได้รู้ฝังแน่นในใจตัวเองว่า มีจุดอ่อน มีข้อด้อย อะไรยังไง ในอนาคตข้างหน้าก็สามารถส่งต่อมุมมองจากประสบการณ์ตรงให้กับรุ่นน้องๆ ได้
แต่หากไปได้สวย ติดลมบนตีคู่ไปกับเจ้าเจ (ที่ตอนนี้คงต้องเรียกว่า "พระเจ") จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทยอย่างมากมายแน่นอน
ในฐานะคนไทยด้วยกัน ขอเอาใจช่วย "มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา อย่างสุดหัวใจครับ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT