ในวันที่ปืนมีเสียง
อาร์เซน่อล ไม่ชนะในลีกมา 7 นัดติด และมีปัญหาเกมรุกที่ยิงประตูได้น้อยนิด อีกทั้งความหวังในแดนหน้าอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ยังไม่ฟิตเต็มร้อยและมีชื่อเป็นเพียงสำรอง
ยิ่งพอ มิเกล อาร์เตต้า ประกาศรายชื่อตัวจริงออกมาที่พลิกโผหลายตำแหน่ง กูรูทุกสำนักต่างฟันธงหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมว่า "ปืนใหญ่" ได้กลายเป็น "ปืนแตก" คาบ้านแน่
ในแนวรุก อาร์เตต้า ตัดสินใจครั้งสำคัญเลือกส่ง 3 ดาวรุ่งอายุไม่เกิน 20 ปีลงตัวจริงพร้อมกัน 3 คนคือ บูคาโย่ ซาก้า, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ เอมิล สมิธ โรว์ ซึ่งทั้งสามต้องช่วยกันปั้นเกมอยู่ข้างหลังหน้าเป้า อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์
แถมแนวรับเลือกใช้ ปาโบล มารี ลงยืนคู่กับ ร็อบ โฮลดิ้ง เนื่องจาก กาเบรียล มากัลเญส ต้องกักตัวหลังใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขณะที่ ดาวิด ลุยซ์ ก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน
ทั้งฟอร์มการเล่นและปัญหาในการจัดทัพ อาร์เซน่อล เป็นรอง เชลซี พอสมควร ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากลูกทีมของ อาร์เตต้า จะลงเอยด้วยความปราชัยอีกนัด
ทว่าตลอด 90 นาทีในสนาม "ปืนใหญ่" กลับเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้น่ายกย่องและสมควรเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
การเล่นที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น วิ่งลุยเข้าใส่แบบไม่กลัว ขยันขันแข็ง และช่วยกันในทุกจังหวะทำให้ อาร์เซน่อล เล่นดีอย่างผิดหูผิดตาจากหลายนัดที่ผ่านมา
ที่ต้องชมเป็นพิเศษคือ 3 ตัวรุกดาวรุ่ง ซาก้า, มาร์ติเนลลี่ และ สมิธ โรว์ ที่กล้าเล่นกล้าลุยเกินอายุ บางจังหวะอาจมีตัดขัดและตัดสินใจไม่เด็ดขาดบ้าง แต่ภาพรวมทำได้ดีและช่วยทีมได้อย่างมาก
3 ดาวรุ่งทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
ประสบการณ์ของยังเติร์กเหล่านี้แม้จะน้อยนิด แต่ทดแทนด้วยความกระตือรือร้นและมีความตั้งใจ ทุกคนเล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง ไม่มีอาการเหยาะแหยะ หรือการเล่นที่มี "อีโก้" เหมือนสตาร์ดัง
อาร์เตต้า วางแท็กติกให้ช่วยกันไล่เพรสซิ่งให้มากที่สุดซึ่ง 3 ดาวรุ่งทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เช่นเดียวกับ ลากาแซ็ตต์ ที่เหมือนเป็นพี่ใหญ่ในแนวรุกนำก๊วนน้องๆ ไล่บีบไล่กดดันการออกบอลของ เชลซี ตั้งแต่แดนหลัง
นั่นทำให้ เชลซี ที่เป็นหนึ่งในทีมเกมรุกดีสุดในลีก ต่อเกมกันติดๆ ขัดๆ แทบไม่มีจังหวะโจมตีจากการเล่นโอเพ่นเพลย์ และตั้งลุ้นเอาจากลูกตั้้้งเตะที่ให้ ติอาโก้ ซิลวา กับ คูร์ท ซูม่า ดันขึ้นมาโหม่งแต่ก็ไม่ได้เข้ากรอบ
กว่าที่ เชลซี จะยิงบอลตรงกรอบครั้งแรกได้ต้องลุ้นถึงนาที 86 ที่ แทมมี่ อบราฮัม กระแทกบอลตุงตาข่ายเป็นลูกตีไข่แตก ส่วนอีกครั้งที่ จอร์จินโญ่ ได้ยิงจุดโทษก็ติดเซฟของ แบรนด์ เลโน่
นั่นเป็นเพียงช่วงท้ายเกมที่เกมของ เชลซี มีลูกฮึดขึ้นมาบ้าง แต่ทั้งหมดเป็นเกมที่ อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และน่าจะยิงได้มากกว่า 3 ประตูด้วยซ้ำ
การเติมเกมรุกของสองฟูลแบ็กทั้ง เอคตอร์ เบเยริน และ คีแรน เทียร์นี่ย์ ช่วยสร้างโอกาสให้ทีมได้หลายครั้ง และบีบให้ตัวรุกริมเส้นของ เชลซี ขึ้นเกมไม่ถนัดไม่ว่าจะเป็น ติโม แวร์เนอร์ และ คริสเตียน พูลิซิช
เบเยริน สร้างโอกาสสองครั้งแรกให้ มาร์ติเนลลี่ และ สมิธ โรว์ ได้ยิงแต่ยังไม่เข้าเป้า ขณะที่การเติมเกมของ เทียร์นี่ย์ ก็เรียกจุดโทษให้ทีมได้สำเร็จจากการเล่นงาน รีซ เจมส์ ที่เสี่ยเหลี่ยมจนต้องทำฟาวล์
กรานิต ชาคา ซัดฟรีคิกสุดเฉียบขาด
2 ประตูแรกของทีมเป็นลูกตั้งเตะทั้งจุดโทษของ ลากาแซ็ตต์ และฟรีคิกที่เฉียบขาดของ กรานิต ชาคา ก่อนที่ครึ่งหลัง บูคาโย่ ซาก้า จะฝัง เชลซี ด้วยลูกยิงที่สุดมหัศจรรย์ชิพข้ามหัว เอดูอาร์ เมนดี้ เข้าไปสุดสวย
นับตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลที่บุกยิง ฟูแล่ม 3-0 อาร์เซน่อล ไม่เคยยิงได้ 3 ประตูต่อนัดเลยจนกระทั่งนัดล่าสุดกับ เชลซี ที่ทำได้ตั้งแต่ 56 นาทีแรก
ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย อาร์เซน่อล ต้องเน้นเกมรับมากขึ้น ขณะที่ เชลซี พยายามปรับเกมรุกส่ง ไค ฮาแวร์ตซ์ และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงมาในครึ่งหลัง เพื่อโหมเอาประตูคืน แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงประตูเดียว
คู่เซนเตอร์ โฮลดิ้ง กับ มารี ที่หลายคนหวั่นอกหวั่นใจก่อนเกม ต่างทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด ในรายของ มารี มีสองจังหวะผิดพลาดที่ได้ใบเหลืองต้นเกม และทำเสียจุดโทษท้ายเกม แต่จังหวะอื่นก็ช่วยหยุดเกมรุกของ เชลซี ได้หลายครั้ง
ที่เด่นสุดคือ โฮลดิ้ง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งตัวหลักในเกมรับของทีมไปแล้ว นัดนี้ปิดพื้นที่การวิ่งและการหาจังหวะยิงของ แวร์เนอร์ ได้อยู่หมัดจน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องถอดหัวหอกทีมชาติเยอรมันออกในครึ่งหลัง
อาร์เซน่อล เก็บชัยชนะที่สำคัญสุดๆ เอาไว้ได้ เป็น 3 คะแนนแรกที่รอมานานนับตั้งแต่บุกชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน หรือเกือบสองเดือนเต็ม
ทุกคนต่างเล่นในแบบที่แฟนบอลอยากเห็นคือใส่ให้เต็มร้อย สู้เพื่อทีมอย่างแท้จริง มีส่วนในชัยชนะทั้งหมด แม้กระทั้ง เลโน่ ที่เพิ่งได้ออกแรงเซฟจริงจังช่วงท้ายเกม แต่จังหวะหยุดจุดโทษของ จอร์จินโญ่ ก็สำคัญสุดๆ เพราะหากลูกนี้เข้าเป็น 3-2 โมเมนตัม จะเหวี่ยงเข้าทาง เชลซี เต็มที่โดยที่ยังมีเวลาอีกราว 5 นาทีในการยิงอีกประตูเพื่อตีเสมอ
เอดูอาร์ เมนดี้ เจอ บูคาโย่ ซาก้า เล่นงาน
"ปืนใหญ่" สมควรได้รับชัยชนะในเกมที่พวกเขาทำได้ดีกว่า มุ่งมั่นกว่า และแสดงให้เห็นมากกว่าต้องการชัยชนะนัดนี้อย่างยิ่ง
แม้อันดับในตารางจะแทบไม่ขยับไปไหนมากนักจากอันดับ 15 ขึ้นมาที่ 14 แต่ก็เป็นชัยชนะที่สร้างกำลังใจและความหวังให้กับทีมอย่างมากโดยเฉพาะการเล่นของบรรดาดาวรุ่งที่ทำให้รุ่นพี่หลายคนต้องฉุกคิดขึ้นมาบ้างว่าก่อนหน้านี้เล่นเพื่อทีมเต็มที่แล้วหรือยัง
ชัยชนะนัดแรกในรอบ 8 นัดหลังสุด ชัยชนะที่เกิดขึ้นจากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยม มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมสมควรได้รับเสียงปรบมืออย่างยิ่งกับผลงานนัดล่าสุด
ส่วนจะกลายเป็น "จุดเปลี่ยน" เพื่อฉุดให้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT