ในวันที่ความผิดพลาดมาพร้อมกันหมด
"ปืนใหญ่" ออกนำก่อนตั้งแต่ต้นเกมจากความสามารถเฉพาะตัวของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง แต่แล้วก็เสียประตูให้เบิร์นลีย์ไม่น่าเชื่อจากความผิดพลาดของ กรานิต ชาคา
จากนั้นก็มีความผิดพลาดต่างๆ มากมายเกิดขึ้นที่สนาม เทิร์ฟ มัวร์ ก่อนลงเอลยด้วยการเสมอที่เหมือน "แพ้" สำหรับ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีม
บทสรุปความผิดพลาดทั้งหมดมีดังนี้
1. จ่ายพลาดสุดช็อก
อาร์เซน่อล ต้องโทษตัวเองอย่างเดียวกับประตูที่เสียให้ เบิร์นลีย์ ในนัดนี้เพราะไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้เลย
การเซตบอลจากแนวรับขึ้นมาของ อาร์เซน่อล เคยผิดพลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และครั้งนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ กรานิต ชาคา รับบอลจาก แบรนด์ เลโน่ แล้วเตะไปติด คริส วู้ด เด้งเข้าประตูไปสุดช็อก
จังหวะนี้ แบรนด์ เลโล่ ไม่จำเป็นต้องจ่ายให้ ชาคา หากประเมินว่ามีคู่แข่งล้อมทุกด้าน เขาควรเตะเปิดโด่งขึ้นมาเลย แต่เมื่อจ่ายมาให้แล้ว ชาคา ที่เป็นคนแบมือขอบอลก็ต้องเล่นให้ชัวร์มากกว่านี้
ชาคา เห็นอยู่แล้วว่ามีคู่แข่งอยู่ตรงไหนบ้าง มีกี่คนที่อยู่ใกล้ตัวเอง เขาควรต้องคิดล่วงหน้าว่าจะเล่นอย่างไรต่อไป ต้องคิดทางเลือกที่มีความ "เสี่ยง" น้อยที่สุด
แต่ ชาคา เลือกทางเลือกที่ยากสุดและเสี่ยงสุด เขาพลิกตัวออกซ้าย บอลเข้าเท้าขวาข้างไม่ถนัด และมี คริส วู้ด ยืนดักอยู่ในตำแหน่งกลางประตูที่มีโอกาสทำประตูได้มากกว่า โยฮัน เบิร์ก กุ๊ดมุนด์สสัน ที่อยู่ฝั่งขวา
หากเขาเลือกพลิกออกขวา บอลจะเข้าซ้ายข้างถนัดที่น่าจะเปิดได้ดีกว่า หรือหากเปิดติด กุ๊ดมุนด์สสัน มุมที่ยิงประตูจะยากกว่า คริส วู้ด แถมยังมี เลโน่ ยืนในตำแหน่งที่มีโอกาสเซฟประตูได้
แต่ทางเลือกที่ดีสุดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจังหวะนี้ของ ชาคา คือควรเป็นเตะออกหลังไปเลย ยอมเสียเตะมุม หรืออีกทางเลือกที่เสี่ยงอยู่บ้างคือ แปะคืน เลโน่ อีกรอบเพื่อให้ เลโน่ สาดโด่งออกไป ซึ่งแม้จะเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าการที่ ชาคา เลือกแตะเข้าเท้าขวาข้างไม่ถนัด
อาร์เซน่อล เล่นสไตล์เซตบอลจากข้างหลังมาตั้งแต่ยุค อูไน เอเมรี่ จนมาถึงยุคของ มิเกล อาร์เตต้า ซึ่งเป็นการเล่นที่เสี่ยงมากและการโดนคู่แข่งไล่เพรสซิ่งจนเสียบอล เสียประตู
ชาคา พลาดเหลือเชื่อ
การยึดในสไตล์การเล่นนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเล่นแบบนี้ทุกจังหวะ หากประเมินว่ามีความเสี่ยงทั้งคู่แข่งอยู่กันหลายคนและพร้อมวิ่งบีบเร็ว ก็ควรเลือกเปิดโด่งไปวัดแย่งบอลกลางสนามกันดีกว่าเพราะต่อให้เสียบอลก็ยังไม่อันตรายเท่ากับการเสียบอลหน้าเขตโทษหรือในเขตโทษตัวเอง
เพราะนั่นแทบจะเสียประตูในทันทีแบบที่เกิดขึ้นล่าสุด
2. ผู้ตัดสินพลาด
เป็นอีกครั้งที่การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินและทีมงานส่งผลต่อการแข่งขันอย่างมาก
จังหวะตัดสินค้านสายตาคนทั้งโลกเกิดขึ้นในครึ่งหลังที่ นิโกล่าส์ เปเป้ กระดกบอลไปติดแขน เอริก ปีเตอร์ส กองหลัง เบิร์นลีย์ ต้องเป็นจุดโทษแน่นอนเพราะชัดเจนอย่างมาก แต่ผู้ตัดสิน อันเดร มาร์ริเนอร์ กลับปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป ไม่ได้เป่าหยุดเกมเพื่อเช็กให้ละเอียดแต่อย่างใด
มาร์ริเนอร์ อาจได้สัญญาณจากทีมงานวีเออาร์ที่นำโดย เดวิด คูต แล้วว่าไม่มีการฟาวล์ชัดเจนจนถึงขั้นต้องให้จุดโทษ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ทีมงานวีเออาร์ที่มีโอกาสดูภาพช้าและเหตุการณ์อีกครั้งยิ่งผิดพลาดอย่างมาก
จังหวะต่อมา มีเหตุการณ์แฮนด์บอลในเขตโทษและจากคนเดิม เอริก ปีเตอร์ส ซึ่งตอนแรก อันเดร มาร์ริเนอร์ ชักใบแดงไล่ออกเพราะมองว่าจงใจใช้มือปัดลูกยิงของ อาร์เซน่อล
แต่พอได้สัญญาณจากวีเออาร์ให้เช็กเหตุการณ์โดยละเอียดจึงยกเลิกใบแดงดังกล่าวเพราะบอลไปโดนหัวไหล่เกือบติดซอกคอ ไม่เป็นการแฮนด์บอลแต่อย่างใดซึ่งถือว่าถูกต้อง
การแก้ไขคำตัดสินในจังหวะที่สองทำได้ถูกต้อง แต่นั่นก็เกิดคำถามถึงมาตรฐานในการตัดสินและการใช้วีเออาร์เพราะจังหวะแรกกลับไม่เป่าหยุดเกมเพื่อเช็กเหตุการณ์ให้ถูกต้องเหมือนจังหวะที่สองที่หยุดเกมใช้เวลาเช็กอย่างละเอียด
อาร์เซน่อล ไม่ได้จุดโทษในจังหวะนี้
หลังมีเสียงวิจารณ์อย่างหนักเกิดขึ้น พรีเมียร์ลีกพยายามแก้ตัวในจังหวะนี้ "ลูกฟุตบอลพุ่งเข้าหาผู้เล่นในระยะประชิดทำให้ไม่มีเวลาตอบโต้"
คำอธิบายของพรีเมียร์ลีกยิ่งก่อให้เกิดคำถามมากกว่าเดิมเพราะเมื่อเทียบกับอีกหลายเหตุการณ์ที่มีการแฮนด์บอลในเขตโทษก็ล้วนเข้าข่ายแฮนด์บอลในระยะประชิดไม่มีเวลาตอบโต้
เหตุการณ์ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบคือเกมระหว่าง สเปอร์ส กับ ฟูแล่ม ล่าสุดที่เจ้าสัวน้อยพลาดได้ประตูตีเสมอท้ายเกมเพราะถูกจับแฮนด์บอลเสียก่อน
ดาวินซอน ซานเชซ กองหลังไก่เดือยทองเตะบอลไปติดแขน มาริโอ เลอมินา ที่พยายามแนบลำตัวอย่างดีแล้วก่อนบอลเด้งไปถึง จอช มายา แต่งหาจังหวะยิงเสียบเสาเข้าไป
มาริโอ เลอมินา ไม่ได้ากางแขนออกมา แต่กลับถูกจับแฮนด์บอล แต่ เอริค ปีเตอร์ส กางแขนออกเป็นหุ่นไล่กาและบอลโดนแขนชัดเจน แต่ผู้ตัดสินและทีมงานวีเออาร์กลับบอกว่าไม่แฮนด์บอล
มิเกล อาร์เตต้า หัวเสียอย่างมากกับจังหวะนี้ เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามันเป็นจุดโทษชัดเจนมากๆ ถ้ามันไม่ใช่จุดโทษก็ต้องมีใครสักคนอธิบายว่าจุดโทษในลีกนี้คืออะไร"
3. แนวรุกพลาด
หากจะมีอีกจุดที่ อาร์เซน่อล ต้องตำหนิตัวเองเพื่อนำไปแก้ไขก็คือเกมรุกที่ใช้โอกาสเปลืองทั้งที่ควรยิงขาดเก็บชัยชนะไม่ยาก
โอบาเมย็อง ซัดให้ทีมออกนำตั้งแต่นาทีที่ 6 แต่จากนั้นกลับไม่สามารถส่งบอลตาข่ายได้อีกเลยทั้งที่ได้ลุ้นยิงรวมทั้งหมด 15 ครั้ง
โอบาเมย็อง กับ บูคาโย่ ซาก้า ได้ส่องมากสุด 4 ครั้งเท่ากัน ตามด้วย นิโกล่าส์ เปเป้ ที่ลงสำรองแต่ก็มีโอกาส 2 ครั้ง
โอกาสชัดเจนสุดที่ควรใส่สกอร์คือการหลุดเข้าไปยิงเน้นๆ ของ ซาก้า ในครึ่งแรกที่ดีดบอลหลุดเสา และการแปจ่อๆ ของ เปเป้ ที่โดนเฉียดๆ อย่างไม่น่าเชื่อ รวมไปถึงจังหวะชุลมุนท้ายเกมที่ ดานี่ เซบายอส ได้ตะบันขวาแต่ก็ชนเสาอีก
ทิ้งโอกาสยิงประตูไปมากมาย
นี่คือโอกาสที่ อาร์เซน่อล ทิ้งไปอย่างน่าเสียดายที่หากไม่นับประตูของ โอบาเมย็อง แล้ว พวกเขายิงเข้ากรอบอีกเพียง 2 ครั้งจาก 14 ครั้งต่อมาที่ได้ยิง
เมื่อทิ้งโอกาสไปเอง อาร์เซน่อล ก็ต้องยอมรับในผลเสมอที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขา "แพ้"
นอกจากทำชัยชนะหลุดมือแล้ว ยังเสียกำลังใจและน่าหงุดหงิดกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นสนามทั้งความผิดพลาดของตัวเองและผู้ตัดสิน
เป็นความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่เหมาะสมก่อนทีมลงเล่นเกมสำคัญในยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 นัดและคั่นกลางด้วย "นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" กับคู่ปรับตลอดกาล สเปอร์ส
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT