ปฏิบัติการถอนขนไก่!
สเปอร์ส ออกนำก่อนจากลูกไขว้สุดมหัศจรรย์ของ เอริค ลาเมล่า แต่ อาร์เซน่อล ก็ทวงคืน 2 ประตูรวดจาก มาร์ติน โอเดการ์ด และจุดโทษของ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ทำให้เก็บ 3 คะแนนล้ำค่าที่อาจเพิ่มความหวังลึกๆ สำหรับการลุ้นจบท็อปโฟร์
การเจอกันอีกครั้งของสองคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนตอนเหนือยังคงเป็นเกมที่เข้มข้น เร้าใจ ครบรสชาติเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เกมจบเหมือนไม่จบเพราะมีประเด็นให้พูดถึงมากมาย
ก่อนเกมเริ่ม มิเกล อาร์เตต้า ประกาศรายชื่อ 11 ตัวจริงแบบพลิกโผเมื่อ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กองหน้ากัปตันทีมมีชื่อเป็นเพียงสำรอง ตำแหน่งหน้าเป้าเป็น อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ได้ลงตัวจริง
มีการเปิดเผยจาก อาร์เตต้า เองว่า โอบาเมย็อง ทำผิดระเบียบของทีม แต่ไม่ระบุว่าเป็นเรื่องใด ขณะที่สื่อในอังกฤษระบุว่าหัวหอกทีมชาติกาบองมารายงานตัวก่อนเกมช้ากว่าเพื่อนร่วมทีมเนื่องจากการจราจรที่ติดขัดในเมืองหลวง
การตัดชื่อดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมออกจากตัวจริงสร้างความหวั่นอกหวั่นใจให้กับแฟนบอลไม่น้อยเพราะในเกมที่สำคัญที่สุดอีกนัดในฤดูกาลนี้ มิเกล อาร์เตต้า ควรจัดทีมที่ดีที่สุดลงสนาม
แต่การตัดสินใจแบบนี้ก็สามารถสะท้อนถึงความเด็ดขาดในการทำงานของกุนซือชาวสเปนที่มีกฎเกณฑ์ให้นักเตะต้องปฏิบัติ ไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษต่อให้เป็นนักเตะสตาร์ของทีม ฉะนั้นหากทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ
สิ่งนี้สามารถเป็นการ "ซื้อใจ" นักเตะคนอื่นได้เช่นกันเพราะรู้สึกได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน สมเหตุสมผล และสร้างสปิริตในทีมให้ดีขึ้นกว่าเดิม คนที่พร้อม คนที่ให้ความร่วมมือกับทีมด้วยดี ก็มีโอกาสได้ลงสนาม ไม่ใช่แค่เรื่องของฝีเท้าอย่างเดียว
การไม่มี โอบาเมย็อง ถือว่าเสียหาย แต่ในหลายนัด อาร์เซน่อล ก็แสดงให้เห็นว่าคนอื่นทดแทนได้และระบบทีมยังดีอยู่เหมือนเช่นวันที่ชนะ เชลซี 3-1, ชนะ เลสเตอร์ 3-1 และล่าสุดในเกมนี้
ลากาแซ็ตต์ ได้ลงแทน โอบาเมย็อง ที่หลุดสำรอง
ส่วน สเปอร์ส จัดเต็มมี แฮร์รี่ เคน กองหน้าตัวเก่งที่ฟิตทันลงสนามหลังเจ็บเล็กน้อยในยูโรปา ลีก ขณะที่ ซน ฮึง-มิน, ลูคัส มูร่า และ แกเร็ธ เบล ที่ฟอร์มแรงช่วงหลังเป็นตัวสนับสนุนแถวสอง
กางรายชื่อเทียบกันบนหน้ากระดาษถือว่าสูสี ทว่ารูปเกมในช่วงแรก ทีมปืนใหญ่ ทำได้ดีกว่าชัดเจน เป็นฝ่ายคอนโทรลเกมรุกเอาไว้ได้หมดและหาโอกาสยิงหลายครั้ง
หัวใจสำคัญในเกมรุกของ อาร์เซน่อล คือ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่คอยสร้างสรรค์จังหวะการเล่นได้อย่างดี มีความเข้าใจในเกมสูงทั้งที่ลงเล่นนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ เป็นนัดแรกในชีวิต
โอเดการ์ด ปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว เขายิงประตูแรกให้ อาร์เซน่อล ในเกมยูโรปา ลีก ที่ซัดไกลสุดสวยพาทีมบุกชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ก่อนตอกย้ำสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมด้วยประตูตีเสมอในช่วงเวลาที่ทีมต้องการคือก่อนจบครึ่งแรก
อีกคนคือ เอมิล สมิธ โรว์ กองกลางดาวรุ่งวัย 20 ปี ที่กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งหลังหายเจ็บ เด็กปั้นสโมสรรายนี้ประสานงานทางฝั่งซ้ายร่วมกับ คีแรน เทียร์นีย์ ได้เป็นอย่างดี ช่วยทีมได้ทั้งเกมรุกและรับ จังหวะการต่อบอลลื่นไหลและเล่นงานไก่เดือยทองได้หลายต่อหลายครั้ง
น่าเสียดายที่เจ้าตัวน่าจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ดเมื่อได้จังหวะตะบันไกลเต็มข้อหน้าเขตโทษ แต่ว่าบอลชนคานอย่างจัง ทำให้ประตูแรกในพรีเมียร์ลีกยังมาไม่ถึงเสียที
ขณะที่เกมรับก็ทำได้ยอดเยี่ยมใน 45 นาทีแรกที่ปิดจังหวะการเซตเกมของ สเปอร์ส ได้หมด หากไม่ได้ลูกยิงเหนือชั้นของ ลาเมล่า ทัพไก่เดือยทองก็คงไม่มีทางขึ้นนำได้ เกมริมเส้นสองฝั่งไม่สามารถผ่านแบ็ก คีแรน เทียร์นี่ และ เซดริก โซอาเรส ได้ ขณะที่ แฮร์รี่ เคน ก็ดูโดดเดี่ยวและแทบไม่ได้สัมผัสบอล
เอมิล สมิธ โรว์ เกือบมีสกอร์
4 นัดก่อนหน้านี้ที่ลูกทีมของ อาร์เตต้า เสียประตู ล้วนมาจากความผิดพลาดของตัวเองทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ดานี่ เซบายอส โหม่งคืนหลังไม่ดีในเกมพบ เบนฟิก้า, กรานิต ชาคา จ่ายพลาดกลางสนามจนโดน เลสเตอร์ โต้กลับยิงประตู และพลาดอีกครั้งเตะบอลอัด คริส วู้ด กองหน้า เบิร์นลีย์ เด้งเข้าประตูแบบเหลือเชื่อ ก่อนเป็น เซบายอส มาพลาดซ้ำสองเช่นกันในเกมยูโรปา ลีกล่าสุดกับ โอลิมเปียกอส
แต่นัดนี้ แข้งปืนใหญ่ไม่ได้มีจังหวะพลาดในแบบนั้น การเล่นละเอียดขึ้น มีจังหวะเปิดยาวจากแนวรับบ่อยกว่าเดิม ไม่ใช่ต่อบอลหน้าเขตโทษอย่างเดียว
หากจะมีที่ต้องปรับปรุงก็คือมาตรฐานการเล่นที่ "ดร็อป" ลงชัดเจนจนออกอาการ "ล่ก" ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่ สเปอร์ส เหลือ 10 คนอีกต่างหาก ทว่ากลับเล่นได้ดีจนตีเสมอได้จากฟรีคิกของ แฮร์รี่ เคน ที่ชนเสา ก่อนเป็น ดาวินซอน ซานเชซ ตามหวดซ้ำ แต่ กาเบรียล มากัลเญส แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากเกมยูโรปา ลีก ก็โหม่งเคลียร์ได้หวุดหวิด
หาก โชเซ่ มูรินโญ่ เลือกแท็กติกเพรสซิ่งสูงไล่บีบใส่กองหลัง อาร์เซน่อล เหมือนที่ เบิร์นลีย์ และ โอลิมเปียกอส เลือกเล่นก็อาจทำให้กองหลังปืนใหญ่เล่นพลาดเองอีกครั้งได้ แต่ มูรินโญ่ มาด้วยแท็กติกเน้นรับในแดนตัวเอง รอจังหวะสวนกลับซึ่งเคยทำได้ดีในหลายนัด เช่นเดียวกับนัดแรกที่เอาชนะ 2-0 ในบ้านตัวเอง
อีกปัจจัยที่ทำให้เกมรับปืนใหญ่ไม่เจองานหนักกว่าที่คิดคือ อาการบาดเจ็บของ ซน ฮึง-มิน ตั้้งแต่ 19 นาทีแรก ซึ่งผลต่อเกมรุกของ สเปอร์ส อย่างมากโดยเฉพาะแท็กติกการเล่นโต้กลับ
ส่วนประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดคือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ รวมถึงทีมงานวีเออาร์ที่นำโดย พอล เทียร์นีย์
จังหวะปัญหาคือ จุดโทษของ อาร์เซน่อล ที่กลายเป็นประตูชัยตัดสินเกมจากเหตุการณ์ที่ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ มีการปะทะกับ ดาวินซอน ซานเชซ ในเขตโทษ
ลากาแซ็ตต์ ยิงพลาดโดนบอลแค่เฉี่ยวๆ ตอนยิงซึ่งในมุมของแฟนบอลสเปอร์ส มองว่าหัวหอกปืนโตเหวี่ยงขามาโดนขา ดาวินซอน ซานเชซ เองด้วยซ้ำ จึงไม่ควรเป็นจุดโทษ
ทว่าผู้ตัดสินมองจังหวะเข้าบล็อกของ ดาวินซอน ซานเชซ ที่อันตรายและยกเท้าสูง อีกทั้งหากไม่มีจังหวะปะทะกัน ลากาแซ็ตต์ ก็อาจตามไปเล่นจังหวะสองได้ ดังนั้น ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ จึงเป่าให้จุดโทษแบบไม่ลังเล และแม้มีการเช็กวีเออาร์จากทีมงานในเวลาต่อมาก็ยืนยันการตัดสินเหมือนเดิม
มาร์ค แคลตเท่นเบิร์ก อดีตผู้ตัดสินชื่อดังให้ความเห็นว่าจังหวะนี้จะบอกเป็นความผิดพลาดของผู้ตัดสินก็คงไม่ได้เพราะการพุ่งแหย่เท้าสูงลอยไปแบบนั้นของ ดาวินซอน ซานเชซ เสี่ยงต่อการทำให้คู่ต่อบาดเจ็บและเกิดการปะทะกัน ความหมายของ แคลตเท่นเบิร์ก ก็คือ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้จุดโทษ
ส่วนอีกจังหวะที่ เอริค ลาเมล่า ได้ใบแดงไล่ออกก็ถือว่าถูกต้องแล้วเพราะปีกอาร์เจนไตน์เล่นนอกเกมมาตั้งแต่ครึ่งแรก และจังหวะที่ได้ใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงก็เข้าตาชัดเจนหลังฟาดท่อนแขนใส่ คีแรน เทียร์นีย์
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ อาร์เซน่อล จะมีช่วงแผ่วปลายและถูกมองว่าได้จุดโทษแบบไม่เคลียร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในภาพรวม ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า สมควรแล้วกับการเป็นผู้ชนะเพราะทำผลงานเหนือกว่า สร้างโอกาสมากกว่า มีชนเสา-คานอีกอย่างละครั้ง และแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคู่ควรกับ 3 คะแนน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT