สู้ไม่ได้ และไม่ได้สู้
นี่คือเกมที่ อาร์เซน่อล แพ้แบบราบคาบทั้งสกอร์และฟอร์มการเล่น แพ้แบบน่าผิดหวัง และทำให้ทุกคนต้องตั้งคำถามกันอีกครั้งว่า "ปืนใหญ่" กำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
ก่อนเบรกทีมชาติ อาร์เซน่อล เพิ่งผ่านเกมที่เป็น "เหรียญสองด้าน" ให้ได้พูดถึงคือมีทั้ง "ดี" และ "แย่" เพราะเริ่มเกมได้ย่ำแย่โดน เวสต์แฮม รัวนำห่างถึง 3-0 แต่สามารถฮึดกลับมาตีเสมอ 3-3 ได้สำเร็จ
แต่นัดล่าสุดกับ ลิเวอร์พูล ต่างออกไปเพราะไม่มีช่วงใดๆ ตลอด 90 นาทีที่ อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นถึงแรงกระตุ้นที่จะกลับมาได้เลย พวกเขาสมควรแพ้แบบไร้ข้อโต้แย้งทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็น "ลบ" ไม่มีด้าน "บวก" ให้พูดถึง
มิเกล อาร์เตต้า อาจมีปัญหาจัดทัพก็จริงกับการไม่มี กรานิต ชาคา คอนโทรลเกมแดนกลาง และสองดาวรุ่ง บูคาโย่ ซาก้า และ เอมิล สมิธ โรว์ ช่วยทำเกมรุก รวมถึง ดาวิด ลุยซ์ ในเกมรับ
แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างเพราะ ลิเวอร์พูล ก็ขาดผู้เล่นไปหลายคนเช่นกันและเป็นฝ่ายมาเยือนอีกด้วย
แท็กติก คุณภาพการเล่น และความมุ่งมั่นในสนามต่างหากที่ทำให้ อาร์เซน่อล "แพ้" ในทุกแง่มุม ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็คู่ควรกับการเป็นฝ่ายชนะกลับออกไป
ทั้งสองทีมมีเกมยุโรปรออยู่โดยเฉพาะ "หงส์แดง" ที่มีเวลาพักน้อยกว่าหลังจบเกมเพราะต้องเจอ เรอัล มาดริด ในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันอังคารที่ 6 เมษายนนี้ แต่กระนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็จัดทีมแบบเกือบเต็มสูบเท่าที่จัดได้ มีเพียง จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ที่เป็นสำรอง
ติอาโก้ กับ ฟาบินโญ่ กด อาร์เซน่อล อยู่หมัด
"หงส์แดง" แสดงความเอาจริงเอาจังให้เห็นตั้งแต่เริ่มเกมที่ค่อยๆ หาจังหวะการเล่นของตัวเองจนกระทั่งคอนโทรลทุกอย่างได้หลังผ่านไปราว 15 นาที
ฟาบินโญ่ กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า คุมแดนกลางอยู่หมัดโดยที่มี เจมส์ มิลเนอร์ คอยช่วยวิ่งไล่แย่งบอลแถวสอง ขณะที่คู่กองกลาง อาร์เซน่อล ที่เลือก ดานี่ เซบายอส ลงจับคู่กับ โธมัส ปาร์เตย์ ในวันที่ ชาคา มีอาการป่วยและฟิตไม่ทัน ไม่สามารถรับมือ ฟาบินโญ่ กับ ติอาโก้ ได้เลย
เมื่อพื้นที่สำคัญตกเป็นของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ต้น อาร์เซน่อล จึงเป็นฝ่ายตั้งรับทั้งที่เล่นในบ้าน และ มิเกล อาร์เตต้า ก็ไม่สามารแก้แท็กติกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เลย "ปืนใหญ่" จึงอยู่ในสภาพหลังพิงฝาตลอดทั้งเกม
ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กับ นิโกล่าส์ เปเป้ ที่ถูกวางตำแหน่งทำเกมรุกริมเส้นเพื่อสนับสนุน อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ต้องถอยลงไปช่วยเกมรับป้องกันการเติมเกมรุกของสองฟูลแบ็ก ลิเวอร์พูล เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนนี้ โรเบิร์ตสัน
เมื่อผู้เล่นเกมรุกต้องมาช่วยเกมรับเป็นหลัก โอบาเมย็อง กับ เปเป้ จึงไม่สามารถสร้างสรรค์เกมให้ ลากาแซ็ตต์ ได้เลย ขณะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ก็ดูโดดเดี่ยว และทำได้เพียงพยายามวิ่งไล่เพรสซิ่งแดนบน แต่ก็ไม่สามารถช่วงชิงแย่งบอลมาทำเกมรุกได้มากนัก
เกมรุก อาร์เซน่อล ถูกปิดตายทันทีและตลอดทั้งเกมได้โงหัวลุ้นยิงประตูเพียง 3 ครั้งซึ่งจังหวะจะแจ้งสุดมาจากแบ็กตัวสำรอง เซดริก โซอาเรส ที่สอดขึ้นไปยิงด้วยขวาในเขตโทษ แต่ตรงตัว อาลีสซง เบ็คเกอร์
การไม่มี ชาคา และ สมิธ โรว์ ยิ่งทำให้เกมฝั่งซ้ายของ อาร์เซน่อล ที่ถือว่าทำดีได้กว่าฝั่งขวาในภาพรวมฤดูกาลนี้ ลดประสิทธิภาพไปอย่างมาก แถมยังมาโชคร้ายเสีย คีแรน เทียร์นีย์ ไปในช่วงท้ายครึ่งแรกอีกคน กราบซ้ายเลยอัมพาตทันทีเพราะ โอบาเมย็อง คนเดียวไม่สามารถทำอะไรได้
สิ่งเดียวที่พอจะทำให้ อาร์เซน่อล เชื่อว่าอยู่ในเกมได้คือการไม่เสียประตูในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกทั้งที่รูปเกมเป็นรองชัดเจน แต่ทุกอย่างก็พังทะลายลงหลัง ดีโอโก้ โชต้า ถูกเปลี่ยนตัวลงมาปลดล็อกให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสได้หลายครั้งอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่จังหวะจบไม่ลงตัวทำให้รอประตูแรกอยู่นานจนกระทั่งได้ โชต้า โขกลูกเปิดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เข้าประตูไป
พื้นที่การเล่นของ อาร์เซน่อล อยู่ในแดนตัวเองเกือบทุกคน
แนวรับ อาร์เซน่อล ที่เป็น คาลั่ม แชมเบอร์ส กับ ร็อบ โฮลดิ้ง ขึ้นประกบหน้า-หลัง โชต้า น่าจะทำได้ด้ดีกว่าในจังหวะป้องกัน แต่ที่ต้องชมคือ อาร์โนลด์ เปิดบอลได้ดีมาก น้ำหนัก ทิศทาง และการตกของลูกบอลเข้าจุดโหม่งของ โชต้า อย่างสมบูรณ์แบบ
เกมรับ อาร์เซน่อล ทำได้เท่าที่ทำได้แล้วเพราะก่อนเสียประตูก็ช่วยสกัดจังหวะอันตรายได้ไม่น้อย แต่ด้วยรูปเกมที่ "สู้ไม่ได้" ก็เหมือนมวยที่โดนต้อนจนมุม รอแค่ว่าจะโดนหมัดน็อกเมื่อไหร่ ช้าหรือเร็วแค่นั้น ซึ่งสุดท้าย ลิเวอร์พูล ที่ออกหมัดได้ต่อเนื่องก็เหวี่ยงกำปั้นเข้าเป้าได้เต็มๆ
พื้นที่การเล่นของ 11 ตัวจริง อาร์เซน่อล อยู่ในแดนตัวเองเกือบทั้งหมด มีเพียง โอเดการ์ด ที่เลยกลางสนามไปเล็กน้อย บ่งบอกถึงรูปเกมได้เป็นอย่างดีว่าเป็นรอง ลิเวอร์พูล ชัดเจน และทำให้เกมนี้เป็นอีกเกมที่น่าผิดหวังที่สุดในฤดูกาล
ในหลายอย่างที่น่าผิดหวัง "ความใจสู้" คือสิ่งที่แฟนบอลและอดีตนักเตะหลายคนตั้งคำถามกับทีมชุดนี้เป็นอย่างมากเพราะสิ่งที่เห็นคือแต่ละคนไม่มีแรงกระตุ้นหรือความมุ่งมั่นที่จะสู้เลย เหมือนยอมรับสภาพโดยเฉพาะหลังโดนประตูที่สองติดๆ ไม่กี่นาทีหลังเสียประตูแรก
เอียน ไรท์ อดีตกองหน้าของทีมถึงกับออกมาสับแหลกว่า "เมื่อลงสนามต้องเล่นด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มความพยายามลงไปมากกว่าที่ผมเห็นในวันนี้ แต่เกมนี้ไม่มีเลยสักคนที่พอจะบอกได้ว่า 'เราพยายามแล้ว เราทำบางอย่างแล้ว' ไม่มีเลย ดูแล้วน่าอดสูอย่างมาก"
ก่อนลงสนาม อาร์เซน่อล ควรมองเห็นโอกาสสำหรับการลุ้นท้อปโฟร์อีกครั้งเพราะ เชลซี พลาดท่าแพ้คาบ้านต่อ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทว่าลูกทีมของ อาร์เตต้า ก็ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสที่สร้างความหวังให้ตัวเองได้เลย
เกมรับทรุดหนักเมื่อเสีย เทียร์นีย์ ไปอีก
ถึงตรงนี้เท่ากับ อาร์เซน่อล แพ้ในลีกไปแล้ว 12 นัดเท่ากับสถิติแย่สุดในยุคพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ปรับการแข่งขันเหลือ 38 นัดต่อฤดูกาล และฤดูกาลนี้ยังเหลือโปรแกรมอีก 8 นัด โอกาสแพ้เป็นสถิติใหม่ที่ไม่น่าจดจำมีสูงมาก
นั่นทำให้ความหวังทั้งหมดทั้งมวลของ อาร์เซน่อล ในการลุ้นไปเล่นถ้วยยุโรปฤดูกาลนี้อยู่ที่การคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ให้ได้ซึ่งในวันพฤหัสบดีนี้มีคิวลงสนามในรอบ 8 ทีมสุดท้ายพบ สลาเวีย ปราก ม้ามืดจากสาธารณรัฐเช็ก
หากไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองเพื่อตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลที่ อาร์เซน่อล ถูกจดจำว่า "ล้มเหลวที่สุด" ในยุคพรีเมียร์ลีก หรือในรอบเกือบสามทศวรรษ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT