หันกระบอกปืนใส่ตัวเอง
อาร์เซน่อล ทำได้เพียงเสมอคู่แข่งจากสาธารณรัฐเช็ก 1-1 ในบ้านตัวเอง ทิ้งโอกาสตุนความได้เปรียบให้ได้มากที่สุดอย่างน่าเสียดาย ทำให้งานนัดสองที่ต้องไปเยือน "ยาก" แน่นอน
หลังความปราชัยแบบสู้ไม่ได้ต่อ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกสุดสัปดาห์ มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนทีมถึง 6 ตำแหน่งในการรับมือ สลาเวีย ปราก
แบ็กซ้ายจำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อ คีแรน เทียร์นีย์ บาดเจ็บจนต้องพักยาว 4-6 สัปดาห์ซึ่งอาจหมายความว่าไม่น่าจะกลับมาลงเล่นได้อีกในฤดูกาลนี้ เซดริก โซอาเรส จึงได้โอกาสแทนยาวๆ ต่อเนื่องนับจากนี้
อีกฝั่งเปลี่ยนมาใช้ เอคตอร์ เบเยริน ที่ทวงตำแหน่งคืนจาก คาลั่ม แชมเบอร์ส ขณะที่คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟยังเหมือนเดิม ร็อบ โฮลดิ้ง กับ กาเบรียล มากัลเญส
ตรงกลางได้ กรานิต ชาคา หายป่วยกลับมาคุมเกมร่วมกับ โธมัส ปาร์เตย์ เช่นเดียวกับตัวรุก บูคาโย่ ซาก้า และ เอมิล สมิธ โรว์ ฟิตสมบูรณ์ลงตัวจริงอีกครั้งหลังพลาดช่วยทีมในเกมพ่ายหงส์แดง
อีกจุดที่เปลี่ยนคือ วิลเลี่ยน ได้ลงตัวแทน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ที่ฟอร์มน่าผิดหวังในช่วงหลัง ขณะที่หน้าเป้ายังเป็น อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์
การปรับทีมของ อาร์เตต้า มีทั้งเหตุจำเป็นและปรับตามฟอร์มการเล่น เป็น 11 ตัวจริงที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ถึงกับดีสุดเพราะบางตำแหน่งเช่น กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ควรได้โอกาสลงตัวจริงบ้าง
ตามหน้าเสื่อแล้ว อาร์เซน่อล เหนือกว่าพอสมควร เพียงแต่ฟอร์มการเล่นช่วงหลังและแท็กติกที่ใช้ทำให้ช่องว่างระหว่างสองทีมลดน้อยลง
สลาเวีย ปราก มีจุดเด่นที่ทีมเวิร์ก ความเข้าใจในเกม และ "ความมั่นใจ" ซึ่งอย่างหลังเห็นชัดมากในเวลาต่อบอลและครองบอลที่ไม่มีอาการลนลานอย่างที่จะเป็นในฐานะทีมรอง
ตรงกันข้ามกับ อาร์เซน่อล ที่ไม่สามารถเค้นศักยภาพที่ตัวเองมีออกมาได้อย่างเต็มที่ ความผิดพลาดและข้อบกพร่องเดิมๆ จากเกมกับ ลิเวอร์พูล มีให้เห็นอยู่ตลอด
ลูกทีมของ อาร์เตต้า ยังคงเสียบอลง่ายโดยเฉพาะ โธมัส ปาร์เตย์ ที่เล่นยาก เล่นเสี่ยงจนโดนแย่งบอลไปนับครั้งไม่ถ้วน จากจังหวะที่ควรได้ปั้นเกมรุกให้ทีมกลายเป็นต้องตั้งรับทันที
อาร์เซน่อล มีโอกาสโจมตีเกมรับฝั่งซ้ายของ สลาเวีย ปราก บ่อยครั้ง บูคาโย่ ซาก้า มีจังหวะเล่นบอลตลอด รวมไปถึง "หลุดเดี่ยว" ที่ยิงหลุดเสาไกลอย่างเสียของ
แต่ด้วยการที่มีจังหวะเสียบอลง่ายๆ อาร์เซน่อล จึงไม่สามารถขึงใส่ผู้มาเยือนได้อย่างต่อเนื่อง มีจังหวะทำเกมรุกก็จริง แต่เป็นสถานการณ์ที่ สลาเวีย ปราก ได้ตอบโต้คืนเช่นกัน รูปเกมค่อนข้างเปิด ต่างฝ่ายต่างมีจุดบอดหลังบ้าน
เทียบกับเกม ลิเวอร์พูล แล้ว อาร์เซน่อล มีโอกาสมากขึ้นเพราะ สลาเวีย ปราก ไม่ได้แกร่งแบบหงส์แดง เพียงแต่โอกาสอันมากมายไม่ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นประตู
จังหวะยิงและเปิดของ ซาก้า ดูไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ต่างจากการหลุดเดี่ยวตั้งแต่กลางสนามของ ลากาแซ็ตต์ ที่แปบอลสูงจนลอยชนคานอย่างไม่น่าเชื่อ รวมไปถึงโอกาสแปในกรอบ 6 หลาของ โอบาเมย็อง ที่ลงมาเป็นสำรอง
ตลอดทั้งเกม "ปืนใหญ่" ได้โอกาส 10 ครั้ง แต่ว่าเข้ากรอบเพียง 2 ครั้งคือลูกโหม่งของ ร็อบ โฮลดิ้ง ในครึ่งแรก และประตูออกนำ 1-0 จาก นิโกล่าส์ เปเป้ ที่ก็ลุ้นกันหืดจับเหลือเกินก่อนมาได้ในนาทที 86
ในวันที่เกมรุกขาดความเฉียขาดและไม่มั่นใจ การยิงได้แต่ละประตูกลายเป็นเรื่องยาก และเมื่อทำได้แล้ว สิ่งที่ยากอีกอย่างก็คือรักษาสกอร์เอาไว้ให้ได้ซึ่ง อาร์เซน่อล ไม่สามารถทำได้
การปิดเกมยังเป็นจุดอ่อนที่ อาร์เตต้า ไม่สามารถแก้ไขกับทีมชุดนี้ได้ สถิติระบุว่าตลอด 7 นาทีก่อนโดนตีเสมอในช่วงทดเจ็บ การต่อบอลของ อาร์เซน่อล แต่ละชอตทำได้ไม่เกิน 3 ครั้งก็โดนตัด
สลาเวีย ปราก เล่นให้เห็นตั้งแต่ต้นเกมอยู่แล้วว่ามีทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม จังหวะวิ่งไล่ทำเป็นระบบ และเมื่อได้บอลก็มีตัววิ่งคอยทำทาง การเซตบอลจึงทำได้เรื่อยๆ และยกระดับมาสู้กับทีมระดับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สบาย
แต่ อาร์เซน่อล กลับไม่ตระหนักถึงจุดแข็งนี้ของคู่แข่ง และจังหวะเสียประตูในลูกเตะมุมก็มาจากการมัวแต่ต่อบอลหน้าเขตโทษ แทนที่จะสาดโด่งขึ้นมา
มีการจับภาพได้ว่า กรานิต ชาคา ตะโกนด่าเกมรับของทีมที่ไม่หวดบอลยาวทิ้งไป แต่ไปจับเล่นหลายจังหวะทั้งที่ตอนนั้นไม่จำเป็นต้องเซตเกมจากข้างหลังแล้ว
นี่คืออีกครั้งที่ อาร์เซน่อล เผยความอ่อนด้อยและอ่อนหัดในตัวเองออกมาจนถูกคู่แข่งตบเรียกสติอย่างจัง จากที่ควรชนะ 1-0 ซึ่งก็ไม่ใช่สกอร์ที่อุ่นใจอะไรได้มากนัก กลายเป็นโดนตีเสมอ 1-1 พลาดทั้งชัยชนะและเสียประตูในบ้านอีกต่างหาก
ที่สำคัญคือ "ความมั่นใจ" ก่อนลงเล่นนัดสองจะเหวี่ยงไปอยู่ทางฝั่ง สลาเวีย ปราก แบบเต็มดอก
สลาเวีย ปราก ทำให้เห็นอีกครั้งว่าทำไมถึงผ่านเข้าถึงรอบนี้ได้
ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย พวกเขาเขี่ย เลสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบคาบ้าน และตบ เรนเจอร์ส อีกหนึ่งทีมจากบริติชร่วงตามกันไป ก่อนได้ผลการแข่งขันที่ดีมากกลับออกจาก เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมโทษใครไม่ได้เลยกับผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่นในนัดนี้ พวกเขาทำ "ตัวเอง" ล้วนๆ
สลาเวีย ปราก อาจยิงตีเสมอในช่วงทดเจ็บ แต่ตลอดทั้งเกมก็หาโอกาสได้ 10 ครั้ง และเข้ากรอบ 4 ครั้ง มากกว่าที่ อาร์เซน่อล ที่เข้ากรอบเพียง 2 ครั้งทั้งที่มีโอกาสยิงถึง 12 ครั้ง
เกมรับ อาร์เซน่อล หละหลวมเปิดโอกาสให้ สลาเวีย ปราก อยู่ตลอด ขณะที่เกมรุกก็ไร้ความเฉียบขาด หากไม่นับประตูของ นิโกล่าส์ เปเป้ ในนัดนี้ อาร์เซน่อล ยิงประตูในบ้านไม่ได้ยาวนานเกือบ 5 ชั่วโมง (296 นาที) ติดต่อกันจากทุกรายการ หรือนับตั้งแต่ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ซัดจุดโทษในเกมนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ที่ชนะ สเปอร์ส 2-1 เมื่อกลางเดือนมีนาคม
อาร์เซน่อล สามารถเป็นแชมป์ยูโรปา ลีก ได้หากเล่นได้เต็มศักยภาพตัวเอง แต่พวกเขาก็พร้อมตกรอบได้ทุกเมื่อหากไม่สามารถงัดในสิ่งที่ตัวเองมีออกมาเล่นงานคู่แข่งได้
สถานการณ์ก่อนลงเล่นนัดสองจึงเหมือนกับว่าพวกเขามี "ปืน" อยู่ในมือ พร้อมลั่นไกทุกเมื่อ
เพียงแต่ว่าตอนนี้ปลายกระบอกปืนอาจไม่ได้หันไปทางคู่แข่งเสียแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT