มีเหมือนกันเว้ย!!!
หลังจบนัดแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน "ปืนใหญ่" ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนักหลังโดน สลาเวีย ปราก ไล่ตีเสมอ 1-1 ในช่วงทดเจ็บ ทำให้เสียเปรียบ "อเวย์โกล" ก่อนถึงนัดตัดสิน
มิเกล อาร์เตต้า ได้เตรียมทีมสำหรับชี้ชะตาเข้ารอบถ้วยยุโรปด้วยการบุกชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-0 ซึ่งเป็นเกมที่เรียกความมั่นใจได้ดีมากทั้งผลการแข่งขันและแท็กติกการเล่น
กองหลัง 4 คนและมิดฟิลด์คู่กลางจึงเป็นเซตเดิมซึ่งตำแหน่งที่น่าสนใจคือ การเล่นแบ็กซ้ายอีกนัดของ กรานิต ชาคา ในช่วงที่ คีแรน เทียร์นีย์ ต้องพักยาว
ชาคา เคยเล่นแบ็กซ้ายมาบ้างก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งได้เล่นในฐานะตัวจริงเป็นครั้งแรกในเกมที่บรามอลล์ เลน และทำผลงานได้ดีทีเดียวจนได้รับคำชมจาก อาร์เตต้า
ในเกมรุกมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นเมื่อ เอมิล สมิธ โรว์ หายเจ็บกลับมาปั้นเกมตรงกลาง เช่นเดียวกับ บูคาโย่ ซาก้า ที่เจ็บเล็กน้อยจากสุดสัปดาห์แต่ฟิตทันลงสนามเช่นกัน ทว่าไม่มี ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กับ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่เป็นไข้ และเจ็บข้อเท้าตามลำดับ
มีการเปิดเผยหลังเกมว่าอาการไข้ของ โอบาเมย็อง คือไข้มาลาเรียที่ไปติดมาจากตอนกลับไปเล่นให้ทีมชาติกาบองช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เจ้าตัวนอนโรงพยาบาลอยู่ 2 วันก่อนกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
ข้อแตกต่างชัดเจนระหว่างนัดแรกกับนัดสองของ อาร์เซน่อล ในยูโรปา ลีก รอบนี้คือ ความเฉียบขาดในการเล่นจังหวะสุดท้ายที่ดีกว่าเดิมมาก และทำให้แทบจะได้บทสรุปตั้งแต่ยังไม่ถึง 25 นาทีแรก
"เราเริ่มเกมได้ดีมากๆ และเล่นกันได้อย่างดุดัน สามารถกดดันคู่แข่งได้ตลอด และอันตรายทุกครั้งในเวลาขึ้นเกมรุก" อาร์เตต้า สรุปผลงานของทีมหลังเกมเอาไว้แบบนี้
แม้ถูก วีเออาร์ ปฏิเสธประตูในนาที 14 ที่ บูคาโย่ ซาก้า ซัดไกลเต็มข้อโดนปัดชนเสาก่อนมี เอมิล สมิธ โรว์ ตามซ้ำ แต่ อาร์เซน่อล ก็ไม่ปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดเกิดขึ้นนานเพราะสามารถนำจนได้ในจังหวะบุกครั้งแรกที่เริ่มเกมอีกครั้งและจบด้วยการยิงสุดเยือกเย็นของ นิโกล่าส์ เปเป้
จากนั้นอีกเพียง 6 นาทีก็บวกเพิ่มได้ถึง 2 ประตูจากจุดโทษของ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และลูกยิงไกลสุดเฉียบขาดของ บูคาโย่ ซาก้า ที่คราวนี้ผู้รักษาประตู สลาเวีย ปราก ได้เพียงยืนตาขาย ไม่ได้ขยับตัวใดๆ
ก่อนลงสนามนัดนี้ สลาเวีย ปราก ไม่แพ้ต่อทีมจากสหราชอาณาจักรเลยตลอด 5 นัดที่พบ เลสเตอร์ ซิตี้ ไป-กลับ, เรนเจอร์ส ไปกลับ และ อาร์เซน่อล นัดแรก แถมเสียเพียง 2 ประตูเท่านั้น
นอกจากนี้ก็ไม่แพ้ใครในบ้านมานานเกือบหนึ่งปีครึ่ง นับตั้งแต่แพ้ อินเตอร์ มิลาน 1-3 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019
ทว่าออกสตาร์ทเกมนี้ได้เพียง 24 นาที พวกเขาโดน อาร์เซน่อล ทะลวงห่าง 3-0...ทุกอย่างแทบจบลงทันที
ในเกมแรก อาร์เซน่อล มีโอกาสพอสมควรทั้งจาก บูคาโย่ ซาก้า, อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ทว่าไร้ความเฉียบขาดยิงพลาดไปเองหมด
แต่นัดนี้ "ปืนใหญ่" จบสกอร์ได้สุดคม และทำให้ตั้งแต่ต้นเกมทำให้ช่วงเวลาที่เหลือเป็นงานง่ายมากขึ้น ต่อให้ สลาเวีย ปราก ยิงคืนได้ 3 ประตู ก็ยังเป็น อาร์เซน่อล ที่เข้ารอบ
ด้วยสกอร์ที่นำห่างรวดเร็วและรูปเกมดูมั่นใจกว่ามาก อาร์เซน่อล จึงไม่จำเป็นบุกต่อและผ่านบอลให้ชัวร์ในแดนตัวเอง ปล่อยให้ สลาเวีย ปราก ได้ต่อบอลทำเกมรุกบ้าง แต่ก็ไม่สามารถสร้างปัญหาได้มากนัก
ตลอด 90 นาที สลาเวีย ปราก ไม่สามารถยิงบอลตรงกรอบได้เลย ต่างจากนัดแรกที่ทำกดดันเกมรับปืนโตได้ดีกว่าจนกระทั่งได้ประตูตีเสมอในช่วงทดเจ็บ
คู่เซนเตอร์ที่เปลี่ยนจาก กาเบรียล มากัลเญส มาเป็น ปาโบล มารี ลงยืนคู่ ร็อบ โฮลดิ้ง มีความ "นิ่ง" และ "ละเอียด" มากขึ้นในการออกบอล รู้ว่าจังหวะไหนควรจับบอลเล่น หรือควรเคลียร์ทิ้งทันที
ขณะที่การแก้ปัญหาแบ็กซ้ายด้วยการส่ง กรานิต ชาคา ลงเล่นก็ออกมา "เวิร์ก" อีกนัด ไม่ได้กลายเป็นจุดบอดของทีม แม้สไตล์การเล่นของ ชาคา จะไม่สามารถวิ่งขึ้นสุด-ลงสุดได้แบบ คีแรน เทียร์นีย์ ก็ตาม
เมื่อเกมรุกใช้โอกาสไม่เปลือง เกมรับก็พลอยได้รับอานิสงค์เล่นได้ง่ายขึ้น อาร์เซน่อล จึงปิดจ๊อบได้เร็ว ไม่จำเป็นต้องโหมรุกและเน้นคอนโทรลสถานการณ์
นับจากประตูของ ซาก้า ในนาที 24 อาร์เซน่อล ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าบุกทำให้ไม่ได้ลุ้นยิงประตูอีกเลยจนกระทั่ง ลากาแซ็ตต์ มาซัดประตูปิดท้าย 4-0 ในนาที 77
การเก็บคลีนชีตได้ในช่วงเวลาที่เหลือก็ถือว่าสำคัญสำหรับ อาร์เซน่อล และเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันที่ทำได้หลังจากก่อนหน้านี้เสียประตูตลอด 14 นัดจากทุกรายการ
ช่วงท้าย มิเกล อาร์เตต้า จึงได้โอกาสส่งดาวรุ่งและสำรองลงสนามทั้ง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่เกมลีกสุดสัปดาห์เพิ่งยิงประตูแรกในฤดูกาลนี้, เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่หลุดจากทีมไปนาน รวมถึง โฟลาริน บาโลกุน ที่กำลังต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปอีก
อาร์เซน่อล ผ่านเข้ารอบตัดเชือกด้วยผลงานสวยหรูทั้งสกอร์และฟอร์มการเล่น ดีงามหมดจดทั้งเกมรุกและเกมรับ
สิ่งที่หลายคนคาดคิดเอาไว้ตั้งแต่เห็นผลการจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่วางสายรอบตัดเชือกล่วงหน้าไปด้วยก็คือการเจอกันระหว่าง อาร์เซน่อล กับ บียาร์เรอัล
ทั้งสองทีมต่างอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคืออันดับในลีกไม่ดี ทำให้ลุ้นติดพื้นที่ยุโรปยากมาก เส้นทางที่เป็นไปได้มากสุด ณ ตอนนี้คือการคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ที่จะได้โบนัสพิเศษเข้าร่วมสังฆกรรมในถ้วยใหญ่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กุนซือของ บียาร์เรอัล ที่แฟนปืนใหญ่คุ้นเคยอย่างดี
"อูไน เอเมรี่"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT