อาร์เตต้า ไปต่อหรือพอแค่นี้
การกระเด็นตกรอบตัดเชือกยูโรปา ลีก ถือว่าเสียหายอย่างมากเพราะหมายถึงโอกาสที่จะลุ้นแชมป์เพื่อได้ตั๋วพิเศษไปลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าหลุดลอยไปด้วย
ที่น่าเจ็บปวดมากขึ้นไปอีกคือ อาร์เซน่อล ตกรอบด้วยน้ำมือกุนซือที่พวกเขาเฉดหัวทิ้งอย่าง อูไน เอเมรี่ อีกต่างหาก
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มิเกล อาร์เตต้า ในฐานกุนซือควรจะได้ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่
ยูโรปา ลีก เป็นความหวังเดียวของ อาร์เซน่อล ในการปลอบประโลมความผิดหวังในลีก แต่ตอนนี้พวกเขาหมดลุ้นแล้ว ทำให้พอจะสรุปฤดูกาลนี้ได้ว่า "ล้มเหลว" อย่างสิ้นเชิง
ความพ่ายแพ้ต่อ บียาร์เรอัล 1-2 ที่สเปนกลายเป็นเงื่อนไขบีบให้ อาร์เซน่อล ต้องยิงคืนอย่างน้อยหนึ่งประตูเพื่อพลิกสถานการณ์เข้ารอบ แต่ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมไม่สามารถทำได้
ในเกมที่สำคัญที่สุดและเป็นเหมือนเดิมพันของฤดูกาลนี้ อาร์เซน่อล ไม่สามารถเค้นฟอร์มที่ดีออกมาได้ การเล่นยังคงน่าผิดหวัง บางคนใช้คำว่า "บัดซบ" เลยด้วยซ้ำ
แม้ อาร์เตต้า อ้างว่าทีมของตัวเองควรฝ่ายเข้ารอบเพราะมีโอกาสทำประตูหลายครั้ง แต่ในความเป็นจริงคือ บียาร์เรอัล ต่างหากที่สมควรผ่านเข้ารอบสู่รอบชิงชนะเลิศไปวัดแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
"เรือดำน้ำสีเหลือง" ไม่ได้เล่นเหนือกว่าในแง่ที่ว่าเป็นฝ่ายคอนโทรลทุกอย่างอยู่หมัด แต่พวกเล่นได้ตามแผนการที่ อูไน เอเมรี่ วางเอาไว้
อาร์เซน่อล ไม่ได้ทำให้เห็นเลยว่าดีกว่า บียาร์เรอัล ตลอด 2 นัดที่เจอกัน นักเตะหลายคนต่างสับสนในการเล่นชัดเจนเนื่องจากการทดลองแท็กติกของ อาร์เตต้า
ในนัดแรก อาร์เตต้า เลือกเล่นระบบ 'false 9' ไม่มีหน้าเป้าธรรมชาติลงเล่น ขณะที่นัดสองเลือกใช้ 4-1-4-1 ที่มี มาร์ติน โอเดการ์ด กับ เอมิล สมิธ โรว์ ลงทำเกมรุกตรงกลางพร้อมกัน ขณะที่ โธมัส ปาร์เตย์ ยืนต่ำสุดในแดนกลาง
แท็กติกการเล่นไม่มีอันไหนดีสุด-แย่สุด ประสิทธิภาพของแต่และแท็กติกขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้เล่น คู่แข่งที่เจอ และช่วงเวลาที่ต้องใช้
มิเกล อาร์เตต้า ไม่สามารถงัดข้อดีของแท็กติกที่ใช้ออกมาโจมตีคู่แข่งได้ ที่เห็นได้ชัดคือนักเตะไม่เข้าใจวิธีการเล่นเลย ยิ่งเล่นยิ่งสับสนเหมือนไม่ได้ซ้อมกันมา
ย้อนไปในฤดูกาลที่แล้ว อาร์เตต้า พาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ สร้างเครดิตให้ตัวเองได้พอสมควรก่อนเริ่มต้นฤดูกาลนี้ทด้วยการประเดิมด้วยแปมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ราศีกุนซือความหวังใหม่เปล่งประกายมากทีเดียว
แต่ผ่านไปไม่ถึงปี หลายอย่างไม่เป็นไปอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง และแทบไม่มีอะไรพัฒนาต่อยอดมาจากความสำเร็จใจเอฟเอ คัพ และคอมมิวนิตี้ ชิลด์
แน่นอนว่าปัจจัยอื่นล้วนส่งผลต่อผลงานในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลพวงปัญหาจากโควิด-19 เสียงวิจารณ์ด้านลบกรณีเข้าร่วมซูเปอร์ลีกก่อนถอนตัวในภายหลังจนสร้างความไม่พอใจให้แฟนบอลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่บิ๊กเนมในทีมเช่น ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ฟอร์มดร็อปฮวบฮาบน่าใจหายในฤดูกาลนี้
หรือบางคนอาจรวมปัญหาคาราคาซังในครึ่งฤดูกาลแรกของ เมซุต โอซิล เข้าไปด้วยก็ได้
แต่ทั้งหมดที่ว่ามาก็ไม่อาจเป็นข้อยกเว้นสำหรับ มิเกล อาร์เตต้า ไม่มีส่วนในความล้มเหลวของฤดูกาลนี้
ในฤดูกาลที่แล้ว อาร์เตต้า พาทีมจบเพียงอันดับ 8 ของตาราง แย่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 แถมตกรอบ 32 ทีมสุดท้ายยูโรปา ลีก ส่วนฤดูกาลนี้รั้งอันดับ 9 ขณะที่เหลือการแข่งขัน 4 นัด
ตัดการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ออกไปชั่วคราว ผลงานตลอด 1 ปีครึ่งของ อาร์เตต้า ถือว่าต่ำกว่าที่แฟนบอลคาดหวัง และสำหรับใครที่คิดว่าทีมยังสามารถจบพื้นที่ยุโรปในฤดูกาลนี้ได้ก็คงต้องพึ่งปาฏิหาริย์พอสมควร
ฟอร์มการเล่นในนัดสองกับ บียาร์เรอัล คือตัวอย่างสะท้อนชัดเจนถึงภาพรวมอันผิดพลาดหลงทิศหลงทางในฤดูกาลนี้ได้เป็นอย่างดี
อาร์เซน่อล ชุดนี้ขาดทั้งคุณภาพ วิธีการเล่นที่มีประสิทธิภาพ ไอเดียสร้างสรรค์ในเกมรุก แรงกระตุ้นฯลฯ ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างแผนการเล่นและ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดก็ไม่มี
ทั้งที่เป็นเกมชี้ขาดความเป็นไปของฤดูกาลนี้ แต่ตลอด 90 นาที อาร์เซน่อล ยิงบอลเข้ากรอบเพียงครั้งเดียว ขณะที่ บียาร์ฯ ทำได้ถึง 4 ครั้งที่ต้องการผลเสมอก็เข้ารอบ
การแต่งตั้ง มิเกล อาร์เตต้า เข้าคุมทีมเป็นแผนงานระยะยาวที่ต้องใช้เวลา แต่ก่อนจะถึงปลายทางที่สโมสรวางเอาไว้ ขั้นตอนและพัฒนาการแต่ละสเต็ปต้องเกิดขึ้นและจับต้องได้ ไม่ใช่รอดูผลลัพท์ที่ไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างเดียว
อาร์เซน่อล ในยุค อาร์เตต้า กำลังจะจบฤดูกาลด้วยอันดับแย่สุดในรอบ 25 ปีตลอด 2 ฤดูกาลที่คุมทีมและจะไม่ได้ไปเล่นด้วยยุโรปเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาดังกล่าว
มิเกล อาร์เตต้า อาจมีแววและประสบความสำเร็จในเส้นทางโค้ชได้ แต่จะเกิดขึ้นกับ อาร์เซน่อล ในห้วงเวลาเร็วๆ นี้ และภายใต้เจ้าของทีมชุดนี้หรือไม่
เป็นคำถามที่จะยากให้คำตอบเหลือเกิน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT