สิงโตคำราม...ไม่ออก
สกอตแลนด์คู่ควรอย่างยิ่งกับการได้คะแนนกลับออกจากเวมบลีย์ และคงไม่ผิดนักหากพวกเขารู้สึกเสียดายที่มีลุ้นเก็บถึงสามคะแนนได้ด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน อังกฤษ อาจต้องพอใจแล้วกับผลเสมอเพราะทำผลงานไม่ดีนัก แม้การได้ 4 คะแนนจาก 2 นัดก็อาจเพียงพอต่อการเข้ารอบก็ตาม
นัดนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต เปลี่ยน 2 ตำแหน่งจากนัดแรกที่ชนะโครเอเชีย นั่นคือแบ็กสองข้างเมื่อส่งแบ็กซ้ายอาชีพ ลุค ชอว์ ลงเล่นแทน คีแรน ทริปเปียร์ ส่วนแบ็กขวาให้โอกาส รีซ เจมส์ เล่นแทน ไคล์ วอล์คเกอร์
วอล์คเกอร์ ไม่เพียงหลุดจากตัวจริง แต่ไม่มีชื่อใน 23 คนสำหรับนัดนี้ด้วย เช่นเดียวกับ เบน ไวท์ กองหลังจาก ไบรท์ตัน และ บูคาโย่ ซาก้า ดาวรุ่งจาก อาร์เซน่อล
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟิตกลับมาพร้อมเป็นตัวเลือก แต่ เซาธ์เกต ยังไว้ใจ ไทโรน มิงส์ ในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟที่จับคู่กับ จอห์น สโตนส์
11 ตัวจริงของทัพสิงโตคำรามอายุเฉลี่ยเพียง 25 ปี 31 วัน น้อยสุดในการลงเล่นรอบสุดท้ายรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลกและยูโร
ส่วน สกอตแลนด์ ปรับถึง 4 ตำแหน่งจากนัดแรกที่พ่ายต่อสาธารณรัฐเช็ก จุดสำคัญคือการได้ คีแรน เทียร์นีย์ แบ็กซ้ายจาก อาร์เซน่อล ฟิตกลับมาลงตัวจริงอีกครั้งหลังพลาดช่วยทีมนัดเปิดสนาม
บิลลี่ กิลมอร์ ดาวรุ่งร่างเล็กจาก เชลซี ได้โอกาสในแดนกลาง เช่นเดียวกับ เช อดัมส์ กองหน้า เซาธ์แฮมป์ตัน รวมถึง คัลลั่ม แม็กเกรเกอร์ กองกลาง เซลติก
เลียม คูเปอร์, แจ็ค เฮนดรี้, สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง และ ไรอัน คริสตี้ ต่างหลุดเป็นสำรอง
สถิติน่าสนใจของเกมนี้คือ อังกฤษ อังกฤษ พบ สกอตแลนด์ ที่เวมบลีย์มาแล้วทั้งหมด 33 นัด ไม่เคยจบด้วยสกอร์ "0-0" แม้แต่ครั้งเดียว แฟนบอลได้กระโดดดีใจกับการทำประตูแน่นอน
สกอตแลนด์ วางแผนการเล่นด้วยการเข้าถึงตัวเร็ว ใช้การประกบติดไม่ให้อังกฤษได้พลิกบอลง่ายเวลาได้บอล
อังกฤษตั้งเกมยังไม่ได้ในช่วงแรกจนเกิดพื้นที่วางทางขวาที่สกอตแลนด์ต่อบอลกันสวยก่อนเป็น สตีเฟ่น โอดอนเลลล์ ได้เปิดให้ เช อดัมส์ ยิงในเขตโทษ แต่ติดบล็อก จอห์น สโตนส์
สกอตแลนด์ เล่นผิดพลาดเช่นกันในต้นเกมที่เสียลูกเตะมุมก่อนประกบหลวมปล่อยให้ จอห์น สโตนส์ ขึ้นโขกโล่งๆ แต่ว่าบอลชนเสาอย่างจัง แถมไม่กี่อึดใจถัดมา ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ฉกบอลจากเท้า สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ก่อนจ่ายให้ เมสัน เมาท์ วิ่งมายิงเสาแรก แต่บิดเท้าไม่มากพอบอลหลุดออกหลังไป
แต่หลังจากนั้นทั้งสองทีมเริ่มเล่นกันได้นิ่งมากขึ้น อังกฤษใช้การเซตเกมจากด้านหลังขึ้นมาอย่างใจเย็น แต่เมื่อสบโอกาสจึงตักยาวข้ามแนวรับของสกอตแลนด์เพื่อให้ ฟิล โฟเด้น และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง สอดไปเล่นในเขตโทษ
ในครึ่งแรก อังกฤษพยายามเล่นจังหวะแบบนี้บ่อยมากไม่ว่าจะเป็น แคลวิน ฟิลลิปส์ โยนให้ ฟิล โฟเด้น แตะจังหวะแรกหนี แกรนท์ แฮนลี่ย์ ก่อนยิงด้วยซ้ายหลุดกรอบ
ลูกนี้ถ้า โฟเด้น เกี่ยวได้และจบด้วยการวอลเลย์ด้วยซ้ายเข้าประตู ภาพความทรงจำของ พอล แกสคอยน์ ในยูโร 1996 นัดเจอสกอตแลนด์ ผุดขึ้นในหัวแฟนบอลสิงโตคำรามอย่างแน่นอน
จากนั้น รีซ เจมส์ เปิดจากขวาเข้าเขตโทษ แฮร์รี่ เคน ทิ้งตัวโขกในกรอบ 6 หลาแต่ไม่เข้ากรอบ เช่นเดียวกับ เมสัน เมาท์ ที่เกาะอยู่ริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนหาช่องตักให้ สเตอร์ลิ่ง พรวดเข้าเขตโทษ
แต่การที่มีฝนตกโปรยปรายลงมาตั้งแต่ก่อนเกม การจับบอลจึงทำได้ลำบาก ลูกฉาบฉวยลักษณะนี้ของอังกฤษจึงไม่มีประสิทธิภาพมากนักเพราะบอลค่อนข้างลื่น คอนโทรลยาก
สกอตแลนด์เริ่มต่อบอลสู้กับอังกฤษได้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในท้ายครึ่งแรกที่ขึ้นทางซ้ายเป็นหลักจากการมีตัวคุณภาพทั้ง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ คีแรน เทียร์นีย์ พร้อมกับมี จอห์น แม็คกินน์ ขยับมาต่อบอลด้วย โอกาสจะแจ้งสุดใน 45 นาทีแรกมาจากการลุยทางฝั่งซ้ายนี้
เทียร์นี่ย์ ล็อกบอลเปิดด้วยขวาเลยมาเสาไกล สตีเฟ่น โอดอนเลลล์ ได้วอลเวย์เน้นๆ ทะลุ ลุค ชอว์ ไปได้แล้วแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ซูเปอร์เซฟปัดมือเดียวหวุดหวิด เช อดัมส์ ได้โหม่งซ้ำแต่หลุดกรอบไปอีก
เป็นครึ่งแรกที่สนุกและมีโอกาสทั้งสองทีม ทว่าสกอร์ยังไม่ขยับ
หลังแก้เกมในช่วงพักครึ่งกลับออกมา ทัพสิงโตคำรามของ เซาธ์เกต เริ่มต้นได้คึกคัก โฟเด้น และ สเตอร์ลิ่ง พยายามวิ่งจี้เข้าหากองหลังสกอตต์มากขึ้นเพื่อไม่ให้ออกบอลง่าย
เมสัน เมาท์ ได้จังหวะตัดจากซ้ายเข้าในก่อนกดเต็มข้อด้วยขวา เดวิด มาร์แชลล์ ต้องผวาทุบทิ้งเสาแรกหวุดหวิด
ต้นครึ่งหลัง แฮร์รี่ เคน มีบทบาทมากขึ้นต่างจากครึ่งแรกที่ได้สัมผัสบอลในเขตโทษสกอตแลนด์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาถ่างออกไปรับบอลด้านซ้ายก่อนจ่ายให้ รีซ เจมส์ ตั้งป้อมยิงเน้นๆ ทว่าซัดข้ามคานออกหลังไปไกล
สกอตแลนด์ สลับมาใช้ลูกโด่งบอมบ์อังกฤษบ้าง ลินดอน ไดค์ ได้วอลเลย์ด้วยซ้ายจากลูกเตะมุม แต่ รีซ เจมส์ วิ่งมาโหม่งเคลียร์หน้าปากประตูหวุดหวิด
จากที่โหมอยู่ดีๆ อังกฤษป่วนไปเหมือนกันเมื่อเจอการตอบโต้จากสกอตแลนด์ จอร์แดน พิคฟอร์ด ต้องพยายามกระตุ้นเพื่อนให้ใจเย็น
เซาธ์เกต เห็นท่าไม่ดีส่ง แจ็ค กรีลิช ลงมาแทน ฟิล โฟเด้น เพื่อปรับเกมรุกใหม่ จากนั้น แฮร์รี่ เคน โดนถอดออกเช่นกัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ลงสนามแทน
นี่เป็นนัดที่ 2 ติดต่อกันแล้วที่ดาวซัลโวและท็อปแอสซิสต์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุดเล่นไม่ครบ 90 นาที คริส วอดเดิ้ล อดีตปีกทีมชาติอังกฤษให้ความเห็นว่า เคน ดูเหนื่อยล้าทีเดียวทั้งที่ลงเล่นไปเพียง 2 นัดในทัวร์นาเมนต์นี้
หลังผ่านไป 60 นาที อังกฤษ ครองบอลได้มากกว่าที่ 62 % ต่อ 38 % แต่การพาบอลเข้าไปพื้นที่ของอีกฝั่งถือว่าใกล้เคียงกันที่ 22.5 %% ต่อ 23.8 %
การครองบอลเยอะของอังกฤษไม่ได้สร้างความกดดันใส่สกอตแลนด์เท่าที่ควรเพราะหลายจังหวะเสียเวลาไปกับการเซตบอลจากแนวรับเพื่อความชัวร์อย่างที่ เซาธ์เกต ต้องการ จอห์น สโตนส์ กับ ไทโรน มิงส์ ได้ถ่ายบอลให้กันไปมาเยอะมาก
นอกจากนี้ในครึ่งหลัง สตีฟ คลาร์ก กุนซือทัพวิสกี้ก็สั่งลูกทีมเน้นรับในแดนตัวเองเป็นหลัก คอยดักคอยรอพื้นที่เปิด ไม่ได้พุ่งถึงตัวเข้าติดเร็วตั้งแต่กลางสนามเหมือนครึ่งแรก
ยิ่งเวลาผ่านไป เกมรุกของอังกฤษก็ยิ่งตื้นตันไปเอง การเจาะด้านข้างทำได้ลำบากเพราะสกอตแลนด์ซ้อนกันได้ดี มีสมาธิตลอด จังหวะเก็บตก จังหวะจวนตัว พุ่งเข้าตัดบอลได้ทันเวลา แถมมีจังหวะตอบโต้ได้ลุ้นทุกครั้ง
สุดท้ายเกมจบด้วยการที่ สกอตแลนด์ มีโอกาสลุ้นยิงประตูมากกว่าที่ 11 ต่อ 9 ครั้ง ทว่าความแม่นยำมีน้อยทั้งคู่เพราะเข้ากรอบฝั่งละครั้งเท่านั้น
แกเร็ธ เซาธ์เกต และ แฮร์รี่ เคน ให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าทีมควรทำได้ดีกว่านี้ และให้เครดิตสกอตแลนด์กับการเล่นเกมรับได้เยี่ยม
ผลเสมอนัดนี้สำคัญต่อสกอตแลนด์อย่างมากเพราะได้คะแนนแรกที่ต่อความหวังได้ลุ้นถึงนัดสุดท้าย แถมต้องดวลโครเอเชียที่มีคะแนนเดียวจากสองนัดแรกเช่นกัน
หลังความผิดพลาดในนัดแรก ขุนพลจากแดนวิสกี้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีคุณภาพเชิงลึกที่ลุ้นเข้ารอบได้ นัดนี้พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงสปิริตและความมุ่งมั่นเต็มร้อยกับการต่อสู้กับคู่ปรับตลอดกาล
ส่วน อังกฤษ น่าจะเข้าอยู่แล้วกับการมี 4 คะแนน เพียงแต่น่ากังวลไม่น้อยกับฟอร์มล่าสุด
ถ้ารอบน็อกเอาต์ไม่สามารถงัดศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็ยากจะเข้ารอบลึกๆ ได้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT