5 นัดลืมไม่ลง "สิงโต-อินทรีเหล็ก"
ทั้งสองทีมกำลังเผชิญหน้ากันอีกครั้งในศึกยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้ายในวันอังคารที่ 29 มิถุนายนนี้ ซึ่งหากใครผ่านไปได้ก็มีโอกาสลุ้นเข้าชิงชนะเลิศสูงมาก
อังกฤษกับเยอรมันเจอกันมาหลายครั้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และนี่คือ 5 เกมแห่งความทรงจำที่แฟนบอลลืมไม่ลงเมื่อนึกถึงการห่ำหั่นกันระหว่าง "สิงโตคำราม" กับ "อินทรีเหล็ก"
ฟุตบอลโลก 1966 นัดชิงชนะเลิศ
แม้เคยเจอกันก่อนหน้านี้ แต่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1966 คือปฐมบทที่แท้จริงในความเป็นคู่ปรับตลอดกาลระหว่าง อังกฤษ กับ เยอรมัน ที่ในตอนนั้นยังเป็นเยอรมันตะวันตก
เกมใหญ่ เกมสำคัญ และมีดราม่าถกเถียงกันอีกหลายสิบปีนับจากนั้นทำให้การเจอกันนัดนี้อยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม
ในเวลา 90นาที ทั้งสองทีมเสมอกัน 2-2 ต้องไปลุ้นถึงต่อเวลาก่อนเป็น เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ยิงประตูชนคานเด้งลงก่ำกึ่งระหว่างข้ามเส้นไปแล้วหรือบนเส้น แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินชาวอาเซอร์ไบจานบอกกับผู้ตัดสินในสนามว่าเป็นประตูท่ามกลางการประท้วงของนักเตะอินทรีเหล็ก
เจฟ เฮิร์สต์ มากดอีกลูกปิดท้ายเป็นแฮตทริกของตัวเองพาสิงโตคำรามของกุนซือ เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ เอาชนะไปได้ 4-2 ต่อหน้าแฟนบอลแฟนบอล 69,000 คนเต็มสนามเวมบลีย์
นั่นคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์โลกมาครอง
ฟุตบอลโลก 1990 รอบตัดเชือก
อังกฤษ กับ เยอรมันตะวันตก ได้เจอกันอีกครั้งในเกมสำคัญที่มีตั๋วนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1990 เป็นเดิมพัน แต่นั่นคืออีกจุดเริ่มต้นอาถรรพ์จุดโทษที่ตามหลอกหลานทัพสิงโตคำรามอีกหลายปี
ทีมของ เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน มีโอกาสเข้าชิงฯ ในศึกอิตาเลีย 90 แกรี่ ลินิเกอร์ เป็นคนซัดประตูให้ทีมหังจาก อันเดรียส เบรห์เม่ กดฟรีคิกแฉลบให้เยอรมันนำก่อน เกมลงเอยด้วยการต้องดวลจุดโทษตัดสิน
สจ๊วร์ต เพียร์ซ แบ็กซ้ายตีนหนัก และ คริส ว็อดเดิ่ล เป็นสองคนที่พลาดในการดวลฎีกา เปิดทางให้เยอรมันเดินหน้าสู่รอบชิงชนะเลิศก่อนล้างแค้นอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลกสมัย 3 ได้สำเร็จ
ภาพจำอันเจ็บปวดสำหรับแฟนบอลสิงโตคำรามคือ พอล แกสคอยน์ หนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สุดเท่าที่อังกฤษเคยมีมา หลั่งน้ำตาปานใจจะขาดหลังตกรอบ
ยูโร 1996 รอบตัดเชือก
อีก 6 ปีถัดมา อังกฤษ ได้โอกาสล้างตา เยอรมัน อีกครั้งในศึกยูโร 1996 ที่เป็นเจ้าภาพ พวกเขาผ่านรอบแรกไม่ยากก่อนดวลจุดโทษชนะ สเปน ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ขณะที่ อินทรีเหล็ก เฉือนชนะโครเอเชีย 2-1
เสียงกู่ร้อง "Football's Coming Home" ดังกึกก้องตลอดซัมเมอร์ แชมป์โลกสมัยแรกได้บนแผ่นดินตัวเอง ยูโรสมัยแรกก็มีโอกาสเกิดขึ้นในบ้านตัวเองเช่นกัน สาวกสิงโตเชื่อเช่นนั้น
ขุมกำลังของอังกฤษถือว่าไม่ธรรมดา แดนหน้ามี อลัน เชียเรอร์ กับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ขณะที่ตรงกลางปั้นเกมโดย พอล แกสคอยน์ ปล่อยให้ พอล อินซ์ ทำหน้าที่ตัดเกม กองหลังนำโดย โทนี่ อดัมส์ กัปตันทีม จับคู่กับ แกเร็ธ เซาธ์เกต ปราการด่านสุดท้ายคือ เดวิด ซีแมน
ทว่าตลอด 120 นาที อังกฤษ กับ เยอรมัน ไม่สามารถทำประตูกันได้ ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้งซึ่งผู้ชนะก็ยังเป็น "อินทรีเหล็ก" ที่ฝากรอยแค้นให้กับ "สิงโตคำราม" แถมเกิดขึ้นบนสนามเวมบีย์ของตัวเอง
หนึ่งเดียวของอังกฤษที่พลาดจุดโทษคือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือคนปัจจุบันของทัพสิงโต
ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก
เส้นทางสู่ฟุตบอลโลกฉบับเอเชียเข้มข้นตั้งแต่รอบคัดเลือกเมื่อ อังกฤษ กับ เยอรมัน ต้องมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตำแหน่งแชมป์เท่านั้นที่ได้เข้ารอบสุดท้ายอัตโนมัติ ขณะที่รองแชมป์ต้องไปลุ้นต่อในรอบเพลย์ออฟ
ทั้งสองทีมเจอกันตั้งแต่นนัดแรกที่ เวมบลีย์ แต่เป็นทาง เยอรมัน ที่บุกชนะได้ 1-0 จาก ดีทมาร์ ฮามันน์ ความปราชัยของอังกฤษทำให้ เควิน คีแกน ต้องอำลาตำแหน่ง ก่อนที่เอฟเอจะฉีกทำเนียบที่เคยยึดมั่นด้วยการตั้งกุนซือต่างชาติคุมทีมเป็นครั้งแรกนั่นคือ สเวน โกรันส์ อีริคส์สัน เทรนเนอร์ชาวสวีเดนผู้เคยนำ ลาซิโอ คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา
และเป็น อีริคส์สัน นี่แหละที่พาทีมชาติอังกฤษเอาคืนเยอรมันแบบทบต้นทบดอกด้วยการบุกยิงถึงมิวนิค 5-1 ทั้งที่ คาสเท่น ยังเคอร์ ยิงให้เจ้าถิ่นนำตั้งแต่ 6 นาทีแรก
วันนั้น อังกฤษ ทำอะไรก็ไปหมด ไมเคิ่ล โอเว่น เข้าขากับ เอมิล เฮสกี้ อย่างยิ่ง ก่อนเป็น โอเว่น ตะบันแฮตทริกที่มีผลอย่างมากทำให้ได้บัลลงดอร์ในปลายปีนั้น ขณะที่ เฮสกี้ ทำประตูได้เช่นกัน อีกลูกเป็นผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อีกหนึ่งแข้ง ลิเวอร์พูล ที่กำลังห้าวหาญในวัย 21 ปี
อังกฤษ เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มหลังตีเสมอ กรีซ ในช่วงทดเจ็บของนัดสุดท้าย ขณะที่เยอรมันไปลุ้นเพลย์ออฟก่อนยูเครนจนได้ลุยรอบสุดท้าย และจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์โลก
ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
กาลเวลาหมุนผ่านไปรวดเร็ว อังกฤษ ในยุค ฟาบิโอ คาเปลโล่ โคจรมาเจอกับ เยอรมัน ของ โยอัคคิม เลิฟ ในเกมสำคัญของรอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ณ แผ่นดินแอฟริกาใต้
อินทรีเหล็ก เริ่มต้นคึกคักนำก่อน 2-0 จาก มิโรสลาฟ โคลเซ่ และ ลูคัส โพดอลสกี้ แต่อังกฤษก็ตีไข่แตกได้จากลูกโขกของ แมทธิว อัพสัน และควรต้องได้ประตู 2-2 อย่างยิ่งในอีก 2 นาทีถัดมาหากไม่เพราะความผิดพลาดในการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ยิงให้ เชลซี ถึง 27 ประตูในฤดูกาลก่อนลุยฟุตบอลโลก ได้จังหวะซัดจากหน้าเขตโทษส่งบอลลอยข้ามหัว มานูเอล นอยเออร์ ก่อนชนคานเด้งลงพื้น บอลขามเส้นไปเป็นหลา ก่อนที่ นอยเออร์ จะคว้าบอลออกมา ทว่าผู้ตัดสินมองไม่ทัน และไม่มีเทคโนโลยีใดๆ มาช่วย อังกฤษจึงพลาดตีเสมออย่างน่าเสียดาย
นั่นคือจุดเปลี่ยนของเกมอย่างแท้จริง ทัพสิงโตไม่ได้ประตูตีเสมอ และพอกลับมาลุยต่อครึ่งหลังก็โดนเพิ่มอีก 2 ประตูจาก โธมัส มุลเลอร์ ที่ตอนนั้นยังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอายุเพียง 21 ปี ทำให้พ่ายไปขาดลอย 1-4
แฟนบอลเยอรมันบอกว่าประตูของ แลมพาร์ด ที่ไม่ได้ประตูเหมือนเป็นการชดใช้คืนให้เยอรมันที่เคยเสียประตูที่ไม่ใช่ประตูจากการยิงของ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ในฟุตบอลโลก 1966
ทว่าแฟนบอลอังกฤษไม่ได้คิดเช่นนั้น...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT