10 ปัจจัยส่งสิงโตลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยแรก
ทัพสิงโตคำรามไม่ใช่ตัวเต็งตอนเริ่มทัวร์นาเมนต์ แต่จากการที่หลายทีมเต็งทยอยตกรอบไปเรื่อยๆ ขณะที่เส้นทางสู่รอบชิงฯ ค่อนข้างสดใส พวกเขาจึงกลายเป็นเต็งแชมป์ในที่สุด
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ยังมีอีกหลายปัจจัยเกื้อหนุนเข้าด้วยกันทำให้หลายคนเชื่อมั่นว่า ยูโร 2020 หนนี้อาจถึงเวลาแล้วที่ทีมชาติอังกฤษจะคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นครั้งแรก (เสียที)
1. ดีขึ้นในทุกนัดที่ลงสนาม
หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของทีมที่คว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ได้สำเร็จคือ เล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และท็อปฟอร์มถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่เริ่มต้นร้อนแรงทะลุปรอทแต่เหี่ยวปลายในตอนท้าย
อังกฤษ ในยูโร 2020 เข้าข่าย "แรงปลาย" เพราะผลงานในรอบแรกไม่ถึงกับโดดเด่นมากนักแม้เก็บได้ 7 คะแนนจาก 3 นัด และไม่เสียประตูเลยก็ตาม
ทัพสิงโตคำรามประเดิมยูโรด้วยการเอาชนะ โครเอเชีย 1-0 ก่อนเสมอ สกอตแแลนด์ 0-0 แบบที่มีเสียงวิจารณ์พอสมควร จากนั้นเชือด สาธารณรัฐเช็ก หวุดหวิด 1-0 ทำให้สามนัดในรอบแรกยิงได้เพียง 2 ประตู
ทว่าเมื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ทัพสิงโตคำราม เริ่มต้นด้วยการทุบ เยอรมัน 2-0 ซึ่งไม่ใช่สกอร์ที่น้อยคนจะคาดคิด ส่วนใหญ่มองว่าอินทรีเหล็กจะเป็นฝ่ายชนะด้วยซ้ำ
ฟอร์มนัดหักปีกอินทรีถูกต่อยอดให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นในเกมไล่ยิง ยูเครน ขาดลอย 4-0 ได้ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีซึ่งหากเทียบฟอร์มล่าสุดของ 4 ทีมสุดท้ายก็ต้องบอกว่า ลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต โดดเด่นมากที่สุด
2. แฮร์รี่ เคน คืนฟอร์มทันเวลา
แฮร์รี่ เคน ถูกจับตามองอย่างมากในยูโร 2020 เพราะพกดีกรีดาวซัลโวและท็อปแอสซิสต์ของพรีเมียร์ลีกติดตัวมาด้วย เขาคือหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าตำแหน่งดาวซัลโว
ทว่าผ่าน 3 นัดในรอบแรก ดาวยิงจาก ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ไม่สามารถทำประตูได้เลย แถมการประสานงานในเกมรุกกับเพื่อนร่วมทีมมีน้อยมาก โอกาสง้างเท้าลุ้นประตูแทบนับครั้งได้
ทว่า ดาวยิงเนื้่อหอมที่อนาคตในสโมสรยังไม่ชัดเจน ก็ปลดล็อกสำเร็จในเกมสุดสำคัญรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่โหม่งปิดท้ายเอาชนะ เยอรมัน 2-0
จากนั้นหวดอีก 2 ประตูในเกมชนะ ยูเครน และเกือบทำแฮตทริกได้ด้วยซ้ำเมื่อมีจังหวะวอลเลย์ด้วยซ้ายเต็มข้อซึ่งแม้ติดเซฟผู้รักษาประตูแต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเริ่มเรียกความมั่นใจกลับมาได้แล้ว
เมื่อดาวยิงอันดับหนึ่งและกัปตันทีม เรียกฟอร์มการถล่มประตูกลับมาได้แบบนี้ เกมรุกของอังกฤษก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นและพร้อมเอาชนะทุกทีมที่เจอได้หมด
3. ลบฝันร้ายจากเยอรมันได้สำเร็จ
นับตั้งแต่คว้าแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวด้วยการเอาชนะ เยอรมัน (ตะวันตก) ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1966 อังกฤษ ไม่เคยปราบคู่ปรับตลอดกาลในรอบน็อกเอาต์รายการใหญ่ได้อีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน
เยอรมัน ฝากแผลใจให้ อังกฤษ ในหลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นนัดตัดเชือกฟุตบอลโลก 1990, ยูโร 1996 และ ฟุตบอลโลก 2010 แถมมาเยือน เวมลีย์ 7 นัดหลังสุดจากทุกรายการ ไม่เคยเสียท่ากลับออกไปเลย
ทว่ายูโรหนนี้ อังกฤษ ปลดแอกฝันร้ายกับ เยอรมัน ลงได้สำเร็จด้วยชัยชนะ 2-0 จากประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แฮร์รี่ เคน
ชัยชนะนัดนี้ไม่เพียงทำให้ทัพสิงโตผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศก่อนเอาชนะยูเครนเข้าถึงรอบตัดเชือกได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้นักเตะในทีมเชื่อมั่นมากขึ้นว่าพวกเขาสามารถลบอาถรรพ์ในอดีตลงได้ เหมือนคลายปมในใจที่ติดค้างมานาน
4. เกมรับเหนียวแน่น
อังกฤษ เป็นทีมเดียวที่จนถึงตอนนี้ยังไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียวตลอด 5 นัดที่ลงสนาม และรวมเป็น 7 นัดเมื่อนับผลงานช่วงอุ่นเครื่องก่อนลุยยูโร
ในช่วงแรกที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยังไม่ฟิตสมบูรณ์ แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือกส่ง ไทโรน มิงส์ ลงเล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟร่วมกับ จอห์น สโตนส์ แถมในนัดแรกกับ โครเอเชีย ก็ทำเซอร์ไพรส์โยก คีแรน ทริปเปียร์ แบ็กขวาธรรมชาติไปเล่นแบ็กซ้ายอีกต่างหาก
ทว่าการตัดสินใจของ เซาธ์เกต ก็ออกมาดีเกินคาด เช่นเดียวกับการปรับเล่นระบบ 3 เซนเตอร์ฮาล์ฟในเกมพบ เยอรมัน ที่สามารถปิดเกมรุกของอินทรีเหล็กได้ในหลายจังหวะ ก่อนกลับมาเล่นแบ็กโฟร์ปกติในเกมกับ ยูเครน
ตอนนี้ เกมรับอังกฤษดูลงตัวมากขึ้นหลังจาก แม็กไกวร์ ฟิตกลับมาและมี ลุค ชอว์ ประจำการทางซ้าย ขณะที่อีกฟากเป็น จอห์น สโตนส์ กับ ไคล์ วอล์คเกอร์
นั่นเท่ากับว่าแผงแบ็กโฟร์เป็นการประสานงานกันของ 4 ผู้เล่นจากสองทีมแมนเชสเตอร์คือ แม็กไกว์ กับ ชอว์ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และ สโตนส์ กับ อล์คเกอร์ ของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งแน่นอนว่าความเข้าขารู้ใจจากการร่วมงานกันในระดับสโมสรช่วยได้อย่างมาก
ขณะที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ในตำแหน่งผู้รักษาประตูก็ทำหน้าที่ได้อย่างเหนียวหนึบ มีจังหวะเซฟสำคัญให้เห็นเรื่อยๆ และหากไม่เสียประตูในนัดตัดเชือกกับ เดนมาร์ก ได้อีกก็จะเก็บคลีนชีตได้ 6 นัดติดต่อกัน ทำลายสถิติของ อีเกร์ กาซิยาส นายทวารตำนานทีมชาติสเปนลงได้
นอกจากนี้ ดีแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่จับคู่ในแดนกลางก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม มีความขยันในการไล่บอล และคอยสกรีนเกมรุกคู่แข่งในชั้นแรก เรียกได้ว่าช่วยป้องกันแนวรับของทีมได้ดีมาก
5. เริ่มคุ้นเคยกับการเข้ารอบลึก
การมาถึงรอบตัดเชือกในยูโรหนนี้ของอังกฤษ ไม่ใช่มาแบบทะลุกลางปล้อง ไร้ที่มาที่ไป หากแต่เป็นการต่อยอดผลงานมาจากฟุตบอลโลก 2018 รวมถึง ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
ในฟุตบอลโลก 3 ปีก่อนที่รัสเซีย อังกฤษ เข้าถึงรอบตัดเชือกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1990 ก่อนพ่ายต่อ โครเอเชีย น่าเสียดาย
เข้ารอบตัดเชือกในฟุตบอลโลก 3 ปีก่อน
จากนั้นในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็พาทีมเข้ารอบไฟน่อลส์ หรือ 4 ทีมสุดท้ายที่แข่งในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ก่อนคว้าอันดับ 3 มาครอง
นั่นทำให้ อังกฤษ ในช่วง 3 ปีหลังสุด สามารถเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายได้ 3 รายการติดต่อกันซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้เลย 20 ปีเต็ม หรือระหว่าง ยูโร 1996 จนถึง ยูโร 2016
ประสบการณ์จาก ฟุตบอลโลก และ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก มีส่วนช่วยให้อังกฤษเข้าถึงรอบตัดเชือกอีกครั้งในยูโรครั้งนี้ และอาจไปได้ไกลกว่าเดิมจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
6. หลายทีมเต็งตกรอบ
ยูโรหนนี้มีเกมพลิกล็อกนับไม่ถ้วน ถ้าสรุปให้เห็นภาพก็คือ แชมป์โลก และ แชมป์ยูโร กอดคอตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ทีมอันดับ 1 ฟีฟ่าแรงกิ้งจอดป้ายที่รอบก่อนรองชนะเลิศ
ฝรั่งเศส พลิกพ่ายจุดโทษต่อ สวิตเซอร์แลนด์ ทั้งที่ออกนำ 3-1 แต่แผ่วปลายจนถูกตามตีเสมอและแพ้ในช่วงฎีกา
ขณะที่ โปรตุเกส แชมป์ยูโร 5 ปีก่อน เจองานหนักตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ต้องเปิดศึก เบลเยียม ก่อนพ่ายไป 0-1 หมดลุ้นป้องกันแชมป์อย่างรวดเร็ว
เบลเยียม ที่ผ่าน โปรตุเกส มาได้ก็ต้องมาเจอกับของแข็งอย่าง อิตาลี เขี่ยตกรอบและทำให้ยุค "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" ที่มีตัวเก่งหลายคนในแนวรุกทั้ง โรเมลู ลูกากู, เควิน เดอ บรอยน์ และ เอแด็น อาซาร์ ไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที
เมื่อหลายทีมเต็งกระเด็นตกรอบ อังกฤษ จึงกลายเป็นทีมที่แรงกิ้งฟีฟ่าดีสุดในรอบตัดเชือกจากการรั้งอันดับ 4 ของโลก ตามด้วยอันดับ 6 สเปน, อันดับ 7 อิตาลี และ อันดับ 10 เดนมาร์ก
7. ได้ทีมลงตัว (เกือบ) ทุกตำแหน่ง
แกเร็ธ เซาธ์เกต กำลังได้ทีมที่ลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกนัดที่ลงสนาม และหากไม่มีอะไรพลิกโผ เขามี 9 ผู้เล่นที่จะลงตัวจริงในรอบตัดเชือกอยู่ในใจแล้ว
5 ตำแหน่งแรกคือเกมรับไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูและแผงแบ็กโฟร์ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก จอร์แดน พิคฟอร์ด เฝ้าเสาอยู่ข้างหลัง 4 แข้งจากสองทีมแมนเชสเตอร์
ส่วนแดนกลางยึดตำแหน่งโดย ดีแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่แม้ไม่ได้มาจากทีมกลุ่มบิ๊กซิกซ์ แต่สอบผ่านฉลุยหากวัดกันที่ผลงาน ขนาด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เคยเป็นตัวหลักฟิตกลับมาอีกครั้งก็ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงได้
ขณะที่ 4 ตำแหน่งในเกมรุกจะมี 2 คนที่จองโควตาแน่นอนคือ แฮร์รี่ เคน กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งยิงไปแล้วคนละ 3 ประตู อีก 2 โควตา เซาธ์เกต ปรับเปลี่ยนแทบทุกนัดโดยมี เมสัน เมาน์ท, ฟิล โฟเด้น, บูคาโย่ ซาก้า และ เจดอน ซานโช่ สลับกันได้โอกาสตัวจริง ขณะที่ แจ็ค กรีลิช ก็ทำผลงานเข้าตาทุกครั้งในการลงเป็นสำรอง
4-5 คนหลังกับ 2 โควตาที่เหลือในเกมรุกคือจุดที่ เซาธ์เกต ต้องตัดสินใจตามหน้างาน ตามสถานการณ์ และคู่แข่งที่เจอ แต่อีก 9 ตำแหน่งลงล็อกหมดแล้ว
8 ขุมกำลังสำรองชั้นดี
ในเกมถลุง ยูเครน 4-0 รายชื่อสำรองของอังกฤษประกอบด้วย มาร์คัส แรชฟอร์ด, แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟเด้น, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เบน ชิลเวลล์, คีแรน ทริปเปียร์, ไทโรน มิงส์ และ ดีน เฮนเดอร์สัน ฯลฯ
ทั้งหมดที่ว่ามาสามารถเป็นตัวจริงได้เลย นั่นแสดงให้เห็นถึงขุมกำลังสำรองของทัพสิงโตคำรามที่มีคุณภาพพอจะทดแทนตัวจริงได้
ไทโรน มิงส์ ทำให้เห็นใน 2 นัดแรกในช่วงที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยังไม่ฟิตเต็มร้อย ขณะที่ คาลวิน ฟิลลิปส์ ก็ก้าวขึ้นมาจากนักเตะที่เล่นพรีเมียร์ลีกปีเดียวจนกลายเป็นตัวจริงทีมชาติ ไม่ว่าอนาคตจะหลุดเป็นสำรองอีกรอบหรือไม่ แต่ยูโรหนนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าสามารถทดแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้
บูคาโย่ ซาก้า ที่ปกติเป็นสำรอง แต่พอได้โอกาสตัวจริงก็ทำได้ดีในเกมชนะ สาธารณรัฐเช็ก ถึงขนาดคว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ เช่นเดียวกับ แจ็ค กรีลิช ที่ลงสำรองช่วยทีมพลิกเกมได้เรื่อยๆ
แบ็กขวา-แบ็กซ้ายเลือกใครลงก็ได้แทบไม่ต่างกันมากนัก สำรองตอนนี้อย่าง คีแรน ทริปเปียร์ ก็ดีกรีแชมป์ลา ลีกา กับ แอต.มาดริด ส่วน เบน ชิลเวลล์ ทางฝั่งซ้ายก็ระดับแชมป์ยุโรปกับเชลซี
ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ แฟนบอลอังกฤษโหวตผ่านบีบีซีว่าควรให้ ดีน เฮนเดอร์สัน เป็นมือหนึ่งคนใหม่ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เซาธ์เกต จะเลือก พิคฟอร์ด ลงทำหน้าที่ต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่นายทวารจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลงเล่นก็เชื่อได้เลยว่าสร้างความอุ่นใจได้ไม่ต่างกัน ต่างจากส่วนใหญ่ที่มือหนึ่งกับมือสองมักต่างกันชัดเจน
9. เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
อังกฤษ ลงเล่นในยูโร 2020 เหมือนเป็นเจ้าภาพเพราะปักหลักใน เวมบลีย์ สเตเดี้ยม เกือบทุกนัด มีเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศที่ย้ายไปเล่นในอิตาลี
ในรอบแรกที่ผ่านมา มีหลายทีมลงเล่นในประเทศตัวเอง แต่ อังกฤษ จะเป็นเพียงทีมเดียวที่เล่นในบ้านทั้งในรอบตัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศเพราะสนามแข่งขันถูกกำหนดเอาไว้ว่าที่ เวมบลีย์
นอกจากความคุ้นเคยในสนามตัวเองแล้ว การเล่นในบ้านเกือบทุกนัดก็ทำให้อังกฤษไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง ต่างจากอีกหลายทีมที่ย้ายประเทศในทุกนัดที่ลงเล่น ยกตัวอย่าง ยูเครน ที่้ต้องเล่นถึง 4 เมืองใน 3 ประเทศ เดินทางรวมกัน 9 พันกว่ากิโลฯ ก่อนเจอ อังกฤษ ที่อิตาลี
ฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ที่เตะ 1 วัน พัก 2-3 วันแล้วเตะอีกแบบนี้ ทีมไหนฟิต ทีมไหนสด มักได้เปรียบ การไม่ต้องเหนื่อยล้ากับการเดินทางข้ามประเทศจึงเป็นอีกข้อดีที่เข้าทางอังกฤษในยูโรหนนี้
10. แกเร็ธ เซาธ์เกต
ถ้าจะมีสักชื่อที่ผุดขึ้นในหัวแฟนบอลอังกฤษว่า ใครคือ "ตราบาป" ทำให้ทีมไม่ถึงตำแหน่งแชมป์ยุโรป ชื่อของ แกเร็ธ เซาธ์เกต จะเป็นชื่อแรกๆ ที่ออกจากปากหลายคน
เซาธ์เกต มีฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอยู่หลายปีหลังยิงจุดโทษพลาดในรอบตัดเชือกกับ เยอรมัน ศึกยูโร 1996 ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่อังกฤษหวังเอาไว้อย่างมากเพราะเล่นในบ้านและควรตามรอยปีที่ 1966 ที่คว้าแชมป์โลกได้สมัยแรกแรกบนแผ่นดินตัวเอง
ผ่านมา 25 ปี เซาธ์เกต มีโอกาสขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเองซึ่งเขาทำภารกิจแรกได้สำเร็จคือการเอาชนะ เยอรมัน ในรอบน็อกเอาต์ซึ่งไม่เคยมีกุนซืออังกฤษคนใดทำได้เลยนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966
ถ้าพาทีมเข้าชิงฯ และคว้าแชมป์ได้ในยูโรหนนี้ ความชอกช้ำในยูโร 1966 จะกลายเป็นแค่เรื่องในวันวานที่ทุกคนพร้อมโยนทิ้งไว้ข้างหลังได้อย่างสะดวกใจ และเขาจะจดจำ แกเร็ธ เซาธ์เกต ถ้วยมุมมองใหม่
"กุนซือผู้พาทีมคว้าแชมป์ยูโรสมัยแรก"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT