:::     :::

สิงโตตกม้าตาย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ยูโร 2020 ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับการคว้าแชมป์ของทีมชาติอิตาลีที่ ดับฝันโปรเจกต์ 'Football's coming home' ของทีมชาติอังกฤษ

สองทีมที่ดีที่สุดในทัวรนาเมนต์มาเจอกันในนัดชิงชนะเลิศก่อนเป็นขุนพล "อัซซูรี่" ที่ทำได้ดียิ่งกว่าและคู่ควรกับตำแหน่งแชมป์

อังกฤษ เริ่มต้นได้ดีกับการได้ประตูนำตั้งแต่นาทีเศษที่ได้สวนกลับจังหวะแรกก่อนเป็น คีแรน ทริปเปียร์ บรรจงเปิดให้ ลุค ชอว์ ยิงเน้นๆ อย่างมั่นใจที่เสาไกล 

แต่หลังจากนั้น การเล่นตกเป็นของอิตาลีที่คอนโทรลเกมเอาไว้ได้โดยต่อเนื่องและเป็นฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาบุกอย่างตั้งใจเพื่อตีเสมอให้ได้

ทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ถือว่าเริ่มต้นได้ดีกับการได้ประตูนำเร็ว และเลือกแท็กติกเน้นรับปรับทีมจากรอบตัดเชือก 1 ตำแหน่งด้วยการส่ง ทริปเปียร์ ลงช่วยเกมรับและถอนตัวรุกอย่าง บูคาโย่ ซาก้า ออกไปเป็นสำรอง

เซาธ์เกต เคยใช้แท็กติกนี้ได้ผลในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างเยอรมันมาได้ และการเจอกับอิตาลีก็ถือว่าคุณภาพใกล้เคียงกัน 

แต่ในครั้งนี้ อังกฤษ เน้นรับมากจนเกินไปทำให้การเซตเกมของอิตาลีสามารถดันสูงได้ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กับ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ขึ้นมาจ่ายบอลตรงกลางจนแทบจะเป็นบทบาทเดียวกับ จอร์จินโญ่ และ มาร์โก แวร์รัตติ 

การขยับลงต่ำเพื่อล้วงบอลของ แฮร์รี่ เคน ที่ทำได้ดีในช่วง 10 นาทีแรก เริ่มไม่ได้ผลเพราะแนวรับอิตาลีปรับการเล่นตามและรับมือได้ เกมโต้กลับของอังกฤษจึงแทบไม่มี

เมื่ออังกฤษตั้งใจรับและไม่มีลูกโต้กลับ อิตาลี จึงหาโอกาสลุ้นทำประตูได้ต่อเนื่องรวม 20 ครั้งตลอด 120 นาทีและเข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่อังกฤษได้ลุ้นยิง 6 ครั้ง และเข้ารอบเพียงครั้งเดียวคือประตูของ ชอว์ ตั้งแต่ต้นเกม


เซาธ์เกต ทำได้เพียงเดินเฉียดถ้วยแชมป์

ทำนบเกมรับของอังกฤษจึงแตกในที่สุดในช่วงเข้าสู่ 25 นาทีสุดท้ายของเวลาปกติซึ่งอิตาลีสมควรได้ประตูตีเสมออย่างยิ่งเพราะเดินหน้าบุกเข้าใส่ไม่ยั้ง ลุยแหลกทุกทิศทาง และประตูตีเสมอที่คู่เซนเตอร์จอมเก๋าทั้ง คิเอลลินี่ และ โบนุชชี่ ต่างมีส่วนร่วมก็บ่งบอกได้อย่างดีว่าการดันเกมรุกสุดตัวของผู้เล่นอิตาลี

เซาธ์เกต พยายามปรับเกมส่ง บูคาโย่ ซาก้า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาแทน ทริปเปียร์ และ เดแคลน ไรซ์ พร้อมปับแท็กติกจาก 3-4-2 หรือ 5-2-3 ในเวลาตั้งรับ มาเป็น 4-2-3-1 

ดูจากการคุณสมบัติของสำรองที่ส่งลงมาเหมือจะเน้นเกมรุกหวังยิงประตูนำอีกครั้งให้ได้ แต่การเล่นจริงก็ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นฝ่ายตั้งรับเหมือนเดิม ซาก้า แทบไม่มีบทบาทในเกมรุกเพราะทำได้เพียงยืนประคองในแดนตัวเอง มีจังหวะจะพลิกหนี คิเอลลินี่ ได้หนึ่งครั้งแต่ก็โดนกระชากคอเสื้อจนแทบขาด 

เฮนเดอร์สัน ลงมาใหม่ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มความสดให้กับตรงกลางของอังกฤษได้ แคลวิน ฟิลลิปส์ ต้องรับภารหนักต่อไปในการคอยวิ่งปิดช่องการเปิดของของทั้ง จอร์จินโญ่ และ แวร์รัตติ 

อังกฤษ ประคองตัวจบ 90 นาทีด้วยรูปเกมที่เป็นรอง ขณะที่ อิตาลี ยังรักษาจังหวะการเล่นได้เยี่ยมแม้มีปัญหาระหว่างเกมทั้งอาการบาดเจ็บของ จอร์จินโญ่ ที่กัดฟันลุยต่อได้ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า ที่ต้องถูกถอดออกในที่สุด

ในช่วงท้ายเวลาปกติที่ เคียซ่า เล่นต่อไม่ไหว เซาธ์เกต น่าจะใช้ประโยชน์ได้ดีกว่านี้เพราะแนวรุกจาก ยูเวนตุส เป็นผู้เล่นที่สามารถพาบอลลุยได้อย่างทรงพลังและอันตรายที่สุดแล้วในเกมรุกของอิตาลี

ตัวสำรอง 2 คนแรกของอังกฤษไม่ได้ทำให้รูปเกมดีขึ้น เซาธ์เกต ขยับตัวช้าที่จะปรับเกมอีกรอบทั้งที่มีขุมกำลังสำรองชั้นดีอยู่หลายคน  

แจ็ค กรีลิช ถูกโยนลงมาในนาที 99 แต่ตอนนั้นอิตาลีเติมความสดของทั้ง อันเดรีย เบล็อตติ และ มานูเอล โลคาเตลลี่ ลงมาก่อนแล้ว ขณะที่ ไบรอัน คริสตานเต้ กับ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ ก็ได้ลุยตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง


ภาพนี้ไม่ต้องมีคำบรรยาย

ทัพสิงโตคำรามไม่มีโอกาสยิงตรงกรอบอีกเลยนับจากประตูของ ชอว์ และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เซาธ์เกต ก็เลือกที่จะไปวัดที่การดวลจุดโทษพร้อมกับส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ลงมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ

การดวลจุดโทษเหมือนซื้อลอตเตอรี่อย่างที่หลายคนบอกก็จริง แต่การวางแผนให้ดี เลือกคนและเรียงลำดับการยิงให้เหมาะสมก็เพิ่มโอกาสเป็นผู้ชนะได้ 

ในเกมที่กดดันและเดิมพันตำแหน่งแชมป์ เซาธ์เกต เลือกมือสังหารคนที่ 3, 4 และ 5 ที่มีอายุ 23, 21 และ 19 ปีเท่านั้น ถือว่าน้อยมากโดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับความเก๋าของอิตาลี และอีกสิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ อังกฤษ มักมีฝันร้ายในการดวลจุดโทษมานับไม่ถ้วน

อังกฤษ ยิงพลาดตลอด 3 คนสุดท้าย ทำให้ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกได้เสียที และแชมป์ระดับเมเจอร์รายการเดียวยังเป็นแชมป์โลกในปี 1966 หรือผ่านมา 55 ปีเข้าให้แล้ว  

การพลาดจุดโทษของ ซาก้า กลายเป็นจุดที่แฟนบอลหลายคนพูดถึงเพราะต่างมองว่า เซาธ์เกต ควรตัดสินใจให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่โยนภาระอันหนักอั้งให้เด็กอายุ 19 ปีที่เล่นทีมชาติไม่ถึงสิบนัด เป็นคนสุดท้ายที่รับหน้าที่สำคัญซึ่งหลายต่อหลายครั้งมักเป็นคนชี้เป็นชี้ตาย รวมถึงครั้งนี้ที่พลาดปุ๊บ ความฝันก็สลายทันที 

เซาธ์เกต ให้เหตุผลว่าเลือกคนยิงจุดโทษตามผลงานที่ซ้อมซึ่ง 5 คนแรกต่างทำได้ดี แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับพลาดก็ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเพราะเป็นคนเลือก ไม่ใช่ความผิดของนักเตะ

กุนซือวัย 50 ปีเคยมีตราบาปพลาดจุดโทษจนทำให้อังกฤษตกรอบตัดเชือกยูโร 1996 เขาน่าจะรู้ดีว่าความกดดันเป็นอย่างไรโดยเฉพาะกับเด็กที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี 

อังกฤษปไม่ถึงฝั่งฝันและอกหักคาเวมบลีย์ที่แฟนบอลต่างตั้งความหวังเอาไว้อย่างมากเพราะนี่คือโอกาสที่ใกล้เคียงสุดแล้วกับการเป็นแชมป์ ทว่ากลับทำไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนตลอดทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา เซาธ์เกต ตัดสินใจได้ถูกต้องในหลายอย่างและสมควรได้เครดิตกับการพาทีมมาถึงนัดสุดท้ายรายการใหญ่ซึ่งไม่เคยมีกุนซือคนใดทำได้เลยนับตั้งแต่ เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ กับชุดแชมป์โลกสมัยแรก

การเน้นผลและปรับแท็กติกตามคู่แข่งคือสิ่งจำเป็นในฟุตบอลระดับทัวร์นาเมนต์ เพียงแต่ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินใจได้ถูกต้องทุกอย่าง และตอนนี้พวกเขาก็ได้บทเรียนกันไปอย่างสะสมในรอบชิงชนะเลิศ

อังกฤษชุดนี้ยังเต็มไปด้วยผู้เล่นอายุน้อยที่สามารถรวมตัวกันลุยต่อได้อีกหลายทัวร์นาเมนต์ ตอนนี้พวกเขาผ่านประสบการณ์เกมสำคัญมาตลอด 3-4 ปีหลังสุดไล่ตั้งแต่เข้ารอบตัดเชือกฟุตบอลโลก 2018 ต่อด้วยรอบตัดเชือกเช่นกันในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก และมาถึงนัดชิงชนะเลิศยูโร 2020

อีกก้าวเดียวเท่านั้นกับตำแหน่งแชมป์ ประสบการณ์และการตัดสินใจที่ถูกต้องบางอย่างเท่านั้นที่ขาดไป และทำให้สิงโตคำรามตัวนี้มาตกม้าตายในรั้วสุดท้ายทั้งที่เส้นชัยอยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด