เบน ไวท์ ตอบโจทย์ปืนอย่างไร
45 นาทีแรกต่อหน้าแฟนบอลในสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ทันทีว่าจะคุ้มค่าเงินครึ่งร้อยล้านปอนด์ที่ลงทุนไปหรือไม่ ต้องดูกันยาวๆ หรืออย่างน้อยหนึ่งฤดูกาล
แต่กว่าจะถึงวันนั้น แฟนบอลย่อมความหวังอยู่ไม่น้อยและอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดสโมสรจึงยอมทุ่มเงินก้อนโตขนาดนี้เพื่อแลกกับนักเตะที่เล่นลีกสูงสุดได้เพียงฤดูกาลเดียว
ว่ากันถึง "คุณสมบัติเบื้องต้น" เบน ไวท์ อยู่ในวัยที่กำลังก้าวสู่วัยหนุ่มแน่นในอายุ 23 ปี และก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย
เส้นทางค้าแข้งกำลังพุ่งต่อเนื่อง ถ้าไล่ย้อน 4 ฤดูกาลหลังสุดจะพบว่าไต่ระดับเหมือนเดินขึ้นบันไดคือเริ่มจาก นิวพอร์ท ในลีก ทู ต่อด้วย ปีเตอร์โบโร่ ในลีก วัน และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ก่อนกลับมาปักหลักกับ ไบรท์ตัน ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลล่าสุด
ไวท์ ถูก ไบรทตัน ส่งไปเก็บประสบการณ์มาเพียบตั้งแต่ลีกระดับดิวิชั่น 4 จนถึงมาถึงพรีเมียร์ลีก ดังนั้นการขยับจาก ไบรท์ตัน มาเป็น อาร์เซน่อล ก็คืออีกก้าวสำคัญของอาชีพค้าแข้งที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
เจ้าของเสื้อหมายเลข 4 มีในสิ่งที่ อาร์เซน่อล ต้องการคือการเป็นนักเตะอายุน้อยและสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีกหลายปี และมี "ศักยภาพ" ที่ อาร์เซน่อล เชื่อว่าผลันดันให้กลายเป็นยอดแข้งระดับแถวหน้าได้
ภารกิจสำคัญของ มิเกล อาร์เตต้า ก่อนเปิดฤดูกาลใหม่คือการปรับปรุงเกมรับที่แม้ดีอันดับ 3 ในลีก เป็นรองเพียง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี แต่ก็มีมีจุดอ่อนให้เห็นมากมาย
ขณะเดียวกัน สโมสรได้ปล่อยตัว ดาวิด ลุยซ์ แนวรับบราซิเลียนออกจากทีมหลังหมดสัญญา เช่นเดียวกับส่ง วิลเลี่ยม ซาลีบา กับ ดีนอส มาฟโรปานอส ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในรูปแบบยืมตัวอีกหนึ่งฤดูกาล
นั่นเท่ากับว่าผู้เล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กเหลืออยู่ 4 คนคือ กาเบรียล มากัลเญส, ปาโบล มารี, ร็อบ โฮลดิ้ง และ คาลั่ม แชมเบอร์ส
แยกเจาะจงลงไป เซนเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายคือ กาเบรียล กับ ปาโบล มารี ที่มีช่วงดีช่วงแย่สลับกัน ใครฟอร์มดีกว่าก็ยึดตำแหน่งตัวจริง ถือว่าทดแทนกันได้
ฝั่งขวามี 2 คนก็จริง แต่บทบาทของ คาลั่ม แชมเบอร์ส เหมือนเป็นอะไหล่มากกว่าและช่วงหลังทำได้ดีกับการเล่นแบ็กขวา ทำให้ตัวเลือกในตำแหน่งเซนเตอร์ฝั่งขวามีเพียง ร็อบ โฮลดิ้ง คนเดียว
ในช่วงที่ อาร์เตต้า เข้ามาทำทีม เขาสลับระหว่างแนวรับแบ็กโฟร์กับแนวรับแบบสามเซนเตอร์แบ็กในช่วงแรก ก่อนยึดระบบแบ็กโฟร์เป็นหลักในฤดูกาลที่แล้ว
แม้ช่วงหลังเล่นแบ็กโฟร์บ่อยครั้ง แต่เวลาเซตเกมจากแดนหลังจะมี กรานิต ชาคา ขยับลงไปช่วยเปิดบอลอีกคนจนเหมือนเล่นระบบสามเซนเตอร์
การขยับลงมาของ ชาคา สามารถช่วยในการเปิดเกมจากแนวรับฝั่งซ้ายและคอยอุดพื้นที่ว่างในเวลาที่ คีแรน เทียร์นีย์ เติมสูง ขณะที่ กาเบรียล มากัลเญส หรือ ปาโบล มารี ก็สลับกันทำหน้าที่ได้ดี นั่นทำให้เกมรับฝั่งซ้ายค่อนข้างลงตัวมากกว่าฝั่งขวา
ทว่าฝั่งขวายังไม่ลงตัวมากนัก และ เบน ไวท์ คือคำตอบของ อาร์เตต้า
ฤดูกาล 2020/21 ที่ผ่านมา เบน ไวท์ เล่นในตำแหน่งกองหลังฝั่งขวากับระบบสามกองหลังของ ไบรท์ตัน ทำให้คุ้นเคยกับการเล่นด้านข้างเวลารับมือกับตัวริมเส้นคู่แข่ง เช่นเดียวกับการคัฟเวอร์ด้านใน
ไวท์ จะเข้ามาแทนตำแหน่งของ ลุยซ์ และเป็นตัวเปิดบอลจากแนวรับ
การมาของ เบน ไวท์ จะทำให้เซนเตอร์ฮาล์ฟของ อาร์เซน่อล มีเพียงพอและลงตัวมากขึ้น เขาจะเข้ามาแย่งตำแหน่ง โฮลดิ้ง โดยตรง และในเวลาเซตเกมรับจากแนวรับก็จะถ่างออกขวาเล็กน้อย มี กาเบรียล หรือ ปาโบล มารี ขยับมายืนเหมือนเป็นสวีปเปอร์ตัวสุดท้าย ส่วนอีกฝั่งเป็น ชาคา ขณะที่แบ็กสองข้างเติมสูงรอรับบอลแถวกลางสนาม
คุณสมบัติที่ เบน ไวท์ ตอบโจทย์ในสิ่งที่ อาร์เตต้า ต้องการคือความคล่องตัว การยืนตำแหน่งที่คอยปิดโอกาสคู่แข่งในการพาบอลลุยเข้าพื้นที่อันตราย นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่ทำให้ตามประกบและแย่งชิงบอลกลับคืนมาได้ดี
หากเทียบตามตำแหน่งในการเข้ามาแทนที่ ดาวิด ลุยซ์ ที่ย้ายออกไป เบน ไวท์ เป็นรองแนวรับหัวฟูในเรื่องลูกกลางอากาศ แต่นั่นก็เพราะเขาเล่นในระบบสามเซนเตอร์ที่ส่วนใหญ่แล้วปราการหลังตัวสุดท้ายจะเด่นมากกว่าในเรื่องนี้
ไวท์ ไม่ได้สูงใหญ่ในแบบ ลุยซ์ แต่หากจับคู่กับ กาเบรียล มากัลเญส น่าจะเกื้อหนุนกันและกันได้ดีเพราะอดีตเซนเตอร์ลีลล์เด่นกว่าในลูกกลางอากาศ สามารถอุดตรงนี้ของแนวรับทีมชาติอังกฤษได้
สิ่งที่ เบน ไวท์ เหมือน ดาวิด ลุยซ์ นอกจากไปจากความแข็งแกร่งแล้ว คือการเติมเกมรุกทั้งการเปิดบอลและการพาตัวเองขึ้นไปในแดนคู่แข่ง และยังเป็นนักเตะที่ครองบอลได้เหนียวแน่นอีกด้วย
การเปิดบอลและครองบอลคือสิ่งที่ มิเกล อาร์เตต้า คาดหวังจาก เบน ไวท์ อย่างมากเพราะกุนซือชาวสแปนิชมักเลือกเซตเกมจากแนวรับ
เบน ไวท์ ไม่ได้ผ่านบอลยาวมากเท่า ลุยซ์ การผ่านบอลส่วนใหญ่ของ ไวท์ อยู่ในระดับไม่เกิน 10 เมตร และผ่านบอลแบบเน้นชัวร์เอาไว้ก่อน ทำให้ไม่เสียบอลในเกมรับซึ่งเป็นปัญหาของ อาร์เซน่อล อย่างมาก นอกจากนี้ สถิติการครองบอลก็เหนือกว่าทั้ง ลุยซ์, ร็อบ โฮลดิ้ง และ กาเบรียล มากัลเญส
หากมีพื้นที่ว่างก็พร้อมพาบอลลุยขึ้นหน้าทันที
การผ่านบอลยาวของ ไวท์ เกิดขึ้นในเวลาจำเป็นและมองเห็นโอกาส เขาสวิตซ์บอลข้างฝั่งและขึ้นหน้าได้ค่อนข้างแม่นยำ อีกทั้งสามารถเปิดบอลด้วยเท้าซ้ายในสถานการณ์จำเป็นได้ดี
สถิติที่บ่งบอกถึงการขยับขึ้นหน้าเข้าไปในพื้นที่คู่แข่งของ เบน ไวท์ คือ ในทุกๆ 100 ครั้งที่สัมผัสบอล จะมี 10 ครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่สุดท้าย (ตั้งแต่หน้าเขตโทษคู่แข่งจนถึงสุดเส้นหลัง) ขณะที่สถิติของ ลุยซ์ คือ 5.4 ครั้งจากการสัมผัสบอล 100 ครั้ง
อีกอย่างที่ เบน ไวท์ ทำได้ดีมากคือการเลี้ยงบอลที่หากมีพื้นที่ว่างด้านหน้าก็พร้อมพาบอลลุยผ่านคู่แข่งจนเข้าถึงพื้นที่อันตรายและเปิดบอลสร้างในเกมรุกให้เพื่อนร่วมทีมได้
นอกจากนี้ การที่สามารถขยับไปเล่นกองกลางได้ก็คือออปชั่นพิเศษที่เพิ่มทางเลือกให้ อาร์เตต้า ได้เพราะตอนนี้ตรงกลางของ อาร์เซน่อล ก็ยังไม่ลงตัว
อนาคตของ กรานิต ชาคา เหมือนพลิกอีกทางได้กลับมาอยู่ในทีมอีกรอบทั้งที่เกือบจะย้ายไป โรม่า อยู่แล้ว ทว่าจากนี้ไปจนกว่าตลาดซื้อขายจะปิดตัวลงก็ไม่สามารถฟันธงใดๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้
ไวท์ เล่นกองหลังฝั่งขวาในระบบ 3 เซนเตอร์ แต่ก็ขยับไปเล่นตำแหน่งอื่นได้อีกเพียบ
ส่วน โธมัส ปาร์เตย์ กับ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ เตรียมหายหน้าไปร่วมเดือนไปช่วยทีมชาติในศึกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ในต้นปีหน้า
ทั้งหมดคือคุณสมบัติและศักยภาพของ เบน ไวท์ ที่ทำให้ มิเกล อาร์เตต้า และ อาร์เซน่อล เชื่อว่าเขาคู่ควรกับค่าตัว 50 ล้านปอนด์
ในอดีตที่ผ่านมา อาร์เซน่อล มักไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนกับกองหลัง คือมีน้อยมากที่เข้ามาแล้วสามารถเป็นแกนหลักให้กับทีมได้ระยะยาว เอาแค่เจ้าของสถิติกองหลังแพงสุดคนก่อนหน้านี้อย่าง ชโคดราน มุสตาฟี่ ที่สุดท้ายต้องตกลงยกเลิกสัญญากันไปก็บ่งบอกได้ครบถ้วนว่าบทวสรุปสุดท้ายเป็นอย่างไร
เบน ไวท์ จะเป็นอีกหนึ่งการเดิมพันครั้งสำคัญของ อาร์เซน่อล ที่พวกเขาตั้งความหวังเอาไว้เหลือเกินว่าจะตอบโจทย์ที่ต้องการและแก้ปัญหาในแนวรับ (ได้เสียที)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT