ระดับที่ยังไปไม่ถึง
สถิติไม่แพ้ใคร 10 นัดติดต่อกันจากทุกรายการ ถูกหยดลงในทันทีที่ นูโน่ ตาวาเรส จ่ายบอลพลาดเข้าเท้า ดิโอโก้ โชต้า ได้โชว์สเต็ปยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล นำ 2-0
นับตั้งแต่จังหวะนี้ ความแตกต่างระหว่าง อาร์เซน่อล กับ ลิเวอร์พูล ก็ขยายใหญ่ขึ้นและชัดขึ้น จนกลายเป็นบอลคนละชั้นก่อนจบแบบ "หนังม้วนเดิม" อีกครั้ง
ก่อนเสียประตูแรก มิเกล อาร์เตต้า วางแผนการเล่นมาได้ค่อนข้างดี สามารถยื้อสกอร์ 0-0 ได้จนเกือบจบครึ่งแรก
อาร์เตต้า เปลี่ยนผู้เล่นเพียงตำแหน่งเดียวจากนัดชนะ วัตฟอร์ด ก่อนเบรกทีมชาติเมื่อได้ โธมัส ปาร์เตย์ ฟิตทันลงเล่นแดนกลาง เอนส์ลีย์ เมทแลนด์-ไนล์ส จึงหลุดไปเป็นสำรองอีกครั้ง
คีแรน เทียร์นีย์ ฟิตสมบูรณ์เต็มที่และผ่าน 180 นาทีกับทีมชาติสกอตแลนด์ในช่วงเบรกทีมชาติ แต่ อาร์เตต้า ก็ยังเลือกความสดของ นูโน่ ตาวาเรส ที่เล่นได้ดีในช่วงที่ เทียร์นีย์ ขาดหายไป
การเล่นในช่วงยี่สิบนาทีแรกของ อาร์เซน่อล ทำได้ดีทีเดียว สามารถปิดจังหวะยิงของหงส์แดงได้ตลอด แม้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าก็ตาม
หลังผ่านครึ่งทางของครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เริ่มมีช่องในการโจมตีจนทำให้ อาร่อน แรมส์เดล ได้ออกแรงเซฟ 2-3 ครั้ง และในที่สุดก็ส่งบอลตุงตาข่ายจนได้จากฟรีคิกสุดฉมังของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่เปิดเข้าหัว ซาดิโอ มาเน่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
อาร์เซน่อล ตามหลัง 1 ประตูหลังจบ 45 นาทีแรกไม่ถือว่าเสียเปรียบมากนัก แรมส์เดล มั่นใจมากขึ้นจากการเซฟหลายจังหวะ ส่วนกองหลังพลาดประกบตัวเพียงครั้งเดียวที่เสียประตู
ทว่าประตู 2-0 คือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง
นูโน่ ตาวาเรส ที่เล่นดีมา 2 นัดติดและไม่เสียตำแหน่งคืนให้ เทียร์นีย์ พลาดอย่างไม่น่าเชื่อจากการจ่ายบอลเข้าทาง โชต้า ได้โยกหนี เบน ไวท์ และ อารอน แรมส์เดล ก่อนยิงอย่างเหนือชั้น
ประตูนี้กระชากความมั่นใจของ อาร์เซน่อล หายไปอย่างมาก สมาธิเริ่มหลุด และเกิดความผิดพลาดขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ก็เริ่มติดเครื่อง อาศัยจังหวะที่ปืนใหญ่เริ่มรวนด้วยการโขยกเกียร์ 5 ลุยใส่เต็มกำลัง ผู้เล่นเกมรับสามารถปรับโหมดเป็นช่วยเปิดเกมรุกดันเข้าใส่ อาร์เซน่อล จนหลังพิงเชือก
การเล่นเพรสซิ่งของหงส์แดงได้ผลมากขึ้นเรื่อยๆ บีบให้ปืนใหญ่จ่ายบอลพลาดในหลายจังหวะ จากนั้นก็โจมตีด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ หากไม่ใช่ แรมส์เดล ช่วยเซฟ สกอร์คงขาดยิ่งกว่านี้
อาร์เซน่อล ไม่สามารถเปิดตำรารับได้ทันเพราะเสียบอลง่าย ขณะที่จังหวะโต้กลับแทบจะถูกตัดขาดไป กลายเป็นยิ่งเล่นยิ่งเข้าทาง ลิเวอร์พูล
ประตูที่ 3 และ 4 ของ ลิเวอร์พูล เห็นได้ถึงความมั่นใจและแม่นยำในการต่อบอลตั้งแต่หน้าเขตโทษตัวเองจนจบด้วยการยิงประตู ไม่เสียบอลกลางทาง และเข้าทำอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่ อาร์เซน่อล จะป้องกันได้
ช่วง 15 นาทีสุดท้าย หงส์แดง สามารถบดขยี้และยิงได้มากกว่าสองประตูด้วยซ้ำหากเอาจริง พวกเขาเน้นการเคาะบอลจนแทบจะเป็นการ "วอร์มดาวน์" หลังเกมตั้งแต่เกมยังไม่จบเลยทีเดียว ขณะที่ปืนใหญ่ก็เหมือนยอมรับสภาพ รอฟังเสียงนกหวีดยาวจบเกม
อาร์เซน่อล จึงแพ้เป็นนัดแรกในรอบ 11 นัด และเป็นการแพ้ที่ไร้ข้อโต้แย้งใดๆ พวกเขาเป็นรอง ลิเวอร์พูล ทุกกระบวนท่า
ฝันร้ายกับการมาเยือนแอนฟิลด์ยังคงตามหลอกหลอนต่อไป อาร์เซน่อล เสียไปถึง 32 ประตูจาก 9 นัดหลังสุดที่สนามแห่งนี้ และเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่โดนทะลวงตาข่ายอย่างน้อย 3 ประตูต่อนัด
ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่ผ่านทดสอบที่หนักที่สุดในรอบเกือบสามเดือนหรือนับตั้งแต่ขึ้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา
และเป็นอีกครั้งที่ได้เห็นศักยภาพของตัวเองมากยิ่งขึ้นว่ายังเป็นรองทีมกลุ่มลุ้นแชมป์เหมือนเช่นวันที่พ่ายต่อ เชลซี 0-2 และโดน แมนฯ ซิตี้ ถล่มยับ 5-0 ในช่วงต้นฤดูกาล
ลิเวอร์พูล, เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ อยู่คนละระดับกับ อาร์เซน่อล นั่นทำให้เรื่องการลุ้นแชมป์ไม่ใช่เรื่องที่จับต้องได้ในอนาคตอันใกล้นี้ เป้าหมายที่มีความเป็นจริงมากที่สุดคือ พื้นที่ยุโรปเท่านั้น ตั๋วยูโรปา ลีก คือตามเป้า ขณะที่แชมเปี้ยนส์ ลีก คือกำไร
ความพ่ายแพ้ไม่ใช่สิ่งที่ใครต้องการ ยิ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยแบบนี้ยิ่งยากจะรับได้ แต่สถานการณ์ของ อาร์เซน่อล ยังไม่ถึงกับเสียหาย และพอจะมีแง่ดีให้ได้เก็บเกี่ยวไปเรียนรู้และแก้ไข
พวกเขาได้ประสบการณ์มากมายจากความปราชัยนัดนี้ ได้เห็นจุดอ่อนของตัวเองที่ไม่ได้เห็นใน 10 นัดก่อนหน้า และได้เห็นว่าตามหลังทีมที่ลุ้นแชมป์มากเพียงใด
ทีมของ อาร์เตต้า อายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในลีก ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าพวกนักเตะมากประสบการณ์ หากผ่านตรงนี้ไปได้จะแกร่งขึ้น และลดความผิดพลาดลงตามความชั่วโมงบิน
5 จาก 11 ตัวจริงล้วนเป็นนักเตะใหม่ที่แม้ปรับตัวเข้าด้วยกันได้เร็วแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เป๊ะชนิดไร้รอยต่อ เมื่อเจอทีมที่ดีกว่า แกร่งกว่าก็ได้เห็นว่ายังมีจุดที่ไม่ลงตัว ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อผสานเป็นเนื้อเดียวกันให้มากกว่านี้
ยิ่งเมื่อมองที่อันดับในตารางก็ยังถือว่าโอเคเพราะยังอยู่ที่ 5 ของตาราง ทีมรอบข้างหลายทีมพร้อมใจสะดุดเช่นกันไม่ว่าจะเป็น เวสต์แฮม, ไบรท์ตัน และ แมนฯ ยูไนเต็ด
หากถามความเห็นหลังจบ 3 นัดแรกที่แพ้รวดและยิงไม่ได้เลยว่า ถ้าลงเล่นอีก 9 นัดแล้วได้อยู่อันดับ 5 ของตาราง มีอันดับดีกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และ เลสเตอร์...จะเอาหรือไม่?
คงมีน้อยคนนักที่จะตอบว่า "ไม่เอา"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT