(เกือบ) สมบูรณ์แบบ
อาร์แซน เวนเกอร์ พาทีมกลับมาเก็บชัยชนะได้สวยงามอีกครั้ง และมีแง่งามหลายอย่างให้พูดถึงโดยเฉพาะ 2 ผู้เล่นใหม่ทั้ง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมย็อง และ เฮนริค มคิทาร์ยาน
เกมนี้เป็นเกมแรกหลังความพ่ายแพ้ล่าสุดที่สวอนซี และเป็นเกมแรกหลังตลาดปิดตัวลงพร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ของทีมอีกครั้ง
เรียกว่าเข้าสู่ "ยุคใหม่" ก็คงไม่ผิดนักเพราะตลาด 2 ช่วงทั้งซัมเมอร์และวินเทอร์ เปลี่ยนโฉมหน้าอาร์เซน่อลไปอย่างมากทีเดียว
คงไม่มีทีมใดที่ปล่อยดาวซัลโว 3 อันดับแรกจากฤดูกาลก่อนทั้ง อเล็กซิส ซานเชซ, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ และ ธีโอ วัลค็อตต์ ออกไปพร้อมกันในเดือนเดียว แต่เกิดขึ้นแล้วที่อาร์เซน่อล
เฮนริค มคิทาร์ยาน (ขวา) ทำ 3 แอสซิสต์พาทีมใหม่เก็บชัยสวยงาม
ขณะเดียวกันทีมก็ได้แนวรุกใหม่ด้วย 2 ผู้เล่นบิ๊กเนมอย่าง มคิทาร์ยาน และ โอบาเมย็อง ซึ่งรายหลังต้องทุ่มทุนเป็นสถิติสโมสรเลยทีเดียว
ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมย็อง หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า "พีอีเอ" ก็สะดวกปากไม่น้อย ได้ลงตัวจริงทันทีแม้เพิ่งซ้อมได้เพียง 2 วันและมีอาการไข้เล็กน้อยก่อนหน้านี้
ส่วน มคิทาร์ยาน เพื่อนเก่าจาก ดอร์ทมุนด์ ลงเล่นเป็นนัดที่ 2 แต่เป็นนัดแรกที่ออกสตาร์ตตัวจริง และนัดแรกสำหรับเกมในบ้านต่อหน้ากองเชียร์ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ก่อนหน้านี้มีการพูดกันว่า 4 แนวรุก "LMAO" ที่ "โอบา-มคิ" เข้ามาผนึกกำลังร่วมกับ เมซุต โอซิล และ อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ จะยืนตำแหน่งกันอย่างไรเพราะชื่อชั้นแต่ละคนล้วนพระกาฬทั้งสิ้น ถอดใครเป็นสำรองก็เสียดาย
ปรากฏว่าเป็น ลากาแซตต์ ที่ต้องนั่ง ขณะที่ อเล็กซ์ อีโวบี้ รักษาสถานะลูกรักอีกคน 555 ใครจะมา ใครจะไป แต่ผมตัวจริงนะคร้าบบบบ!!!
อารอน แรมซี่ย์ ที่ฟิตสมบูรณ์เต็มสูบได้จับคู่กับ กรานิต ชาคา ตรงกลาง ขณะที่ แจ็ค วิลเชียร์ เพิ่งฟื้นไข้ เริ่มต้นข้างสนาม
ระบบการยืนออกมาเป็น 4-2-3-1 แต่การเล่นจริงของ 3 ตัวทำเกม โอซิล-มิคกี้-อีโวบี้ ไม่ยึดตำแหน่งตายตัว สลับกันไปมาอยู่ตลอด
เวลา โอซิล เริ่มจากตรงกลาง แต่ก็ออกด้านข้างบ่อยครั้งให้ มคิทาร์ยาน สลับมาข้างใน และตัวรุกอาร์เมเนียก็มีจังหวะโยกออกทางขวา วิ่งพล่านช่วยปั้นเกมอย่างขยันขันแข็ง
2 จาก 3 แอสซิสต์ที่ทำได้ก็มาจากการเปิดบอลทางฝั่งขวา และเป็นการเปิดให้ อารอน แรมซี่ย์ ยิงประตูทั้ง 2 ครั้ง ส่วนอีกลูกก็เป็น "ดอร์ทมุนด์คอนเนกชั่น" แทงให้ โอบาเมย็อง หลุดไปงัดเข้าประตูนิ่มๆ
20 นาทีแรก ทุกอย่างลงตัวไปหมด เป็นอาร์เซน่อลที่หลายคนอยากเห็น และเป็นสิ่งที่ เวนเกอร์ เคยทำได้ดีในยุคแรกกับทีมตอนที่ยังเล่นในไฮบิวรี่
บอลตามช่องรับส่งกันอย่างแม่นยำ นักเตะแต่ละคนขยับหาพื้นที่ให้เกิดช่อง ผู้เล่นแนวรุกไม่ยึดตำแหน่งตายตัว สลับสับเปลี่ยนกันได้ตลอด และจังหวะการเล่นลื่นไหลต่อเนื่อง
แรมซี่ย์ ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้ แต่แมน ออฟ เดอะ แมตช์สำหรับหลายคนคือ เฮนริค มคิทาร์ยาน
ผู้ล้มเหลวจากโรงละคร ปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ได้รวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะสไตล์การเล่นเหมาะกับเจ้าตัวด้วยเพราะเป็นฟุตบอลเกมรุก และค่อนข้างมีอิสระในการเล่น
การเล่นกับ โอซิล ยิ่งเป็นเรื่องง่ายเพราะเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเยอรมันมีเซนส์ฟุตบอลยอดเยี่ยม ไอเดียในการเล่นเกินเพื่อนร่วมทีมด้วยซ้ำ นั่นจึงไม่เป็นปัญหาเมื่อ มคิ คิดอ่านอะไรล่วงหน้า
นัดแรกในการเป็นตัวจริงกับอาร์เซน่อล มคิทาร์ยาน ทำได้ถึง 3 แอสซิสต์ซึ่งนับเป็นคนแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และเป็นคนแรกของทีมนับตั้งแต่ ซานติ กาซอร์ล่า ในเกมเจอวีแกนเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2013
ขาดเพียงแค่ยิงเองเท่านั้น แต่ แฮตทริก ออฟ แอสซิสต์ ก็สุดๆ แล้วสำหรับการเปิดตัวต่อหน้าแฟนบอลในบ้าน
ส่วน โอบาเมย็อง ไม่ค่อยมีส่วนร่วมมากนัก หายไปจากเกมในหลายจังหวะ แต่ 1 ประตูที่ทำได้ตั้งแต่นัดแรกก็เป็นสัญญาณบวกที่ดีมาก (แม้ล้ำหน้าก็ตามที)
"พีอีเอ" เปิดตัวด้วยการยิงประตูทันที แม้มาจากจังหวะล้ำหน้าก็ตาม
ความรู้สึกของแฟนบอลหลังรู้ว่าหัวหอกทีมชาติกาบองย้ายมา อาจไม่ตูมตามเป็นกระแสเท่ากับ เมซุต โอซิล ในวันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ 2013 แต่ก็มาพร้อมความหวังไม่น้อยเช่นกันโดยเฉพาะเมื่อทีมต้องเสียแนวรุกอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ออกไป
ดังนั้นการประเดิมสนามพร้อมมีชื่อบนสกอร์บอร์ดจึงเป็นสิ่งที่ช่วยในเรื่องความมั่นใจสำหรับเจ้าตัว และน่าจะช่วยในเรื่องการปรับตัวเข้ากับทีมใหม่
นอกจากนี้ยังเป็นการจ่ายโดย มคิทาร์ยาน อีกต่างหาก ซึ่งย้อนไปไม่ถึง 2 ฤดูกาล เพิ่งเกิดขึ้นที่ดอร์ทมุนด์ (ชนะ โวล์ฟสบวร์ก 5-1, 30 เม.ย. 2016)
อีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องดีก็ย่อมได้คือ เมซุต โอซิล ไม่ได้ยิงและไม่ได้จ่ายให้ทีมจาก 5 ประตูที่เกิดขึ้น
ที่บอกว่าดีก็เพราะเพื่อนร่วมทีมคนอื่นโดยเฉพาะ มคิทาร์ยาน ช่วยแบ่งเบาะภาระในการปั้นเกมรุกให้กับทีม ไม่ใช่ทุกอย่างต้องออกจากเท้าของอดีตแข้งเรอัล มาดริดตลอด
อย่างไรก็ตาม โอซิล ก็ยังมีส่วนกับเกมตลอด 3 ประตูแรกก่อนที่ มคิทาร์ยาน, มุสตาฟี่ และ อีโวบี้ จะจ่ายให้เพื่อนยิง จุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจาก โอซิล ที่เป็นคนเปิดช่องทลายแนวรับเอฟเวอร์ตัน
นั่นคือภาพสวยงามทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งของอาร์เซน่อล
ในอีกด้านยังมีหลายจุดที่ทำให้เกมนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบแม้สกอร์ออกมาขาดลอย 5-1
ผู้มาเยือนจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ ไม่ใช่คู่แข่งที่จะเป็นบทชี้วัดคุณภาพของทีมใดก็ตามโดยเฉพาะช่วงนี้ที่สภาพ "เปราะ" เหลือเกิน
แซม อัลลาไดช์ พยายามก็อปปี้แนวทางการเล่นของสวอนซีที่เพิ่งโค่นปืนใหญ่มาได้เมื่อกลางสัปดาห์ แต่ระบบหลัง 3 ของเอฟเวอร์ตันกลับกลายเป็นจุดอ่อน
แรมซี่ย์ (ซ้าย) ทำแฮตทริก ขณะที่เพื่อนเก่า วัลค็อตต์ (ขวา) เจอวันแย่ๆ ในการคืนรัง
เอเลียควิม ม็องกาล่า ที่เพิ่งยืมมาจากแมนฯ ซิตี้ ก่อนตลาดวาย ซ้อมกับทีมไม่ทันไรก็ต้องลงตัวจริงในระบบไม่คุ้นเคย และประสานงานกับ ไมเคิ่ล คีน และ แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์ เป็นครั้งแรก
การส่งกองหลังตัวใหม่ลงเล่น "เสี่ยง" มากกว่ากองหน้าอยู่แล้วเพราะหากพลาดเลยหมายถึงผู้รักษาประตูตัวเองโดนล่อเป้าในทันที เทียบกับ โอบาเมย็อง ที่หากยิงไม่ได้กับนัดแรกแบบนี้ ก็คงไม่ส่งผลร้ายอะไรนัก
"บิ๊กแซม" จัดตัวแบบให้เห็นชัดเจนไปเลยว่าเน้นรับ นอกจาก 3 เซนเตอร์แล้ว จอนโจ เคนนี่ กับ คูโค่ มาร์ติน่า ที่เล่นวิงแบ็กขวา-ซ้าย ก็ไม่ได้รุกเต็มสูบเพราะเป็นแบ็กอาชีพ
แนวรุกอาศัยผู้เล่นที่มีความเร็วไว้คอยโต้กลับไม่ว่าจะเป็น อูมาร์ แนสส์, ยานนิค โบลาซี่ และ ธีโอ วัลค็อตต์ ที่กลับมาเยือนถิ่นเก่าเป็นครั้งแรก
แต่ด้วยทำนบที่แตกเร็วตั้งแต่ 6 นาทีแรก ก่อนตามด้วยลูก 2 และ 3 ในเวลารวดเร็ว หมากของบิ๊กแซมจึงพังไม่เป็นท่า
แฟนบอลทอฟฟี่เดินออกจากสนามอย่างหมดใจตั้งแต่ช่วงพักครึ่งเพราะเห็นสภาพแล้วคงเชียร์ต่ออีก 45 นาทีไม่ไหว รีบจับรถไฟกลับลิเวอร์พูลดีกว่า
เกมรับยังมีรอยโหว่ปล่อยให้ทอฟฟี่ตีไข่แตกง่ายๆ
เอฟเวอร์ตัน กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ไม่ต่างจากช่วงท้ายของ โรนัลด์ คูมัน ก่อนโดนปลด อัลลาไดช์ พาทีมชนะเกมลีกได้เพียงนัดเดียวจาก 8 นัดหลังสุด นั่นคือเกมในบ้านกับเลสเตอร์
จริงๆ แล้วเกมนั้น หากทัพจิ้งจอกไม่มีปัญหา ริยาด มาห์เรซ ออกอาการงอแงและหายหัวจากทีมแบบไร้ร่องรอยจนกระทั่งตอนนี้ ชัยชนะนัดเดียวในช่วงหลังของเอฟเวอร์ตันก็อาจไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ประตูที่อาร์เซน่อลเสียให้เอฟเวอร์ตันแม้ไม่ได้ทำให้ผลการแข่งขันเปลี่ยนไป แต่ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาหลังบ้านที่น่าห่วง ไม่เคยได้รับการแก้ไข และเป็นนัดที่ 8 ติดต่อกันในลีกแล้วที่เสียประตู
ยิ่งกับเกมนี้ที่กด 3 ประตูตั้งแต่ 20 นาทีแรก ยิ่งต้องปิดเกมให้เด็ดขาด เล่นให้มืออาชีพ ไม่ใช่ประมาทย่ามใจ เกมรุกยิงเพิ่มไม่ได้ไม่เป็นไร แต่การไม่เสียประตูก็สำคัญไม่แพ้กัน
ปีเตอร์ เช็ก ที่รอคลีนชีตนัด 200 ในลีกมานาน ก็ต้องรอต่อไป แถมเกมนี้ได้รับบาดเจ็บอีกต่างหาก
แนวรุกชุดใหม่ดูโอเคขึ้นกับนัดแรกที่เล่นร่วมกัน สิ่งที่ต้องตามดูต่อจากนี้คือ เวนเกอร์ จะหาจุดลงตัวอย่างไร
ลากาแซตต์ ย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติสโมสรก่อนหน้า โอบาเมย็อง หากถูกขังไว้ข้างสนามแบบนี้เรื่อยๆ คงไม่ดีแน่
ส่วนเกมรับหากยังเสียประตูง่ายๆ ราวกับทีมท้ายตาราง โอกาสลุ้นกลับไปติดท็อปโฟร์ก็คงยากกว่าที่คิด ความเสียหายจะเกิดขึ้นต่อเนื่องแน่นอนหาไม่ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นปีที่ 2 ติตต่อกัน
ทีมที่ดีต้องหาจุดสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องวนลูปกลับมาจุดเดิมอีกครั้ง และการมาของอดีตคู่หูเสือเหลืองก็อาจไม่ช่วยอะไร
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT