หงส์ "เขี้ยวกว่า "ปืน"

ลิเวอร์พูล ทำคะแนนไล่จี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหลือเพียงคะแนนเดียว ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็สะดุดรอให้ทีมอื่นมีลุ้นมากขึ้นในการจบท็อปโฟร์ 

อาร์เซน่อล ไม่เปลี่ยนทีมจากหลายนัดหลังที่ทำได้ดีโดยมี มาร์ติน โอเดการ์ด เป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก ส่วน ลิเวอร์พูล ดร็อป โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นสำรองเพราะสภาพร่างกายไม่เต็มร้อย แต่ก็มีตัวแทนอย่าง ดิโอโก้ โชต้า ลงสนาม

มิเกล อาร์เตต้า างแผนการเล่นและทำได้ดีมากในครึ่งแรกและต้นครึ่งหลัง เกมรับแทบไม่มีข้อผิดพลาด ขณะที่เกมรุกก็พาบอลบุกเข้าพื้นที่อันตรายของ ลิเวอร์พูล ได้ต่อเนื่อง

จังหวะเดียวที่เกมรับ อาร์เซน่อล หลวมมีเพียงปล่อยให้ ซาดิโอ มาเน่ หลุดไปรับบอลยาว แต่ก็ยิงข้ามคาน ส่วนเกมรุกมีจังหวะโจมตีแนวรับหงส์แดงเป็นระยะโดยเฉพาะ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่เล่นงาน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ได้หลายจังหวะ

อาร์เซน่อล เล่นอย่างรัดกุมในครึ่งแรก เวลาเสียบอลก็ช่วยกันวิ่งไล่จนแย่งบอลกลับมาได้เร็ว ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่มีจังหวะโจมตีเร็วได้เพราะโดนบีบเร็ว 

ทีมปืนใหญ่มีโอกาสขึ้นนำก่อนหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะที่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า จ่ายพลาดเข้าทาง อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ที่ฉกได้ก่อนจ่ายให้ มาร์ติน โอเดการ์ด ยิงเน้นๆ ทว่าติดเซฟของ อาลีสซง เบ็คเกอร์

เมื่อมีโอกาสแล้วแต่ทำไม่ได้ อาร์เซน่อล จึงโดน ลิเวอร์พูล ลงโทษทันที หงส์แดงใช้เวลาเพียง 2 นาทีหลังจากรอดพ้นการเสียประตูด้วยการเป็นฝ่ายพลิกนำได้ก่อน 

ติอาโก้ ที่เกือบกลายเป็นคนร้ายของทีม แก้ตัวจ่ายบอลทะลุช่องว่างระหว่าง เซดริก โซอาเรส และคู่เซนเตอร์แบ็กทำให้ ดิโอโก้ โชต้า ที่กำลังถูกเปลี่ยนตัวออกยิงมุมแคบทะลุการป้องกันของ อารอน แรมส์เดล ไปได้ 

โอกาสจะแจ้งที่ อาร์เซน่อล พลาดไป

ความเฉียบคมในการจบสกอร์คือข้อแตกต่างที่ชัดเจนสุดระหว่างทั้งสองทีมที่รูปเกมโดยรวมดีกันคนละช่วงเวลา อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าในครึ่งหลัง แต่ครึ่งหลังที่เสียสองประตูติดๆ กันก็เป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่กลับมาเป็นฝ่ายคอนโทรลเกมได้อยู่หมัด 

ตลอด 90 นาที ปืนใหญ่ได้โอกาสยิง 9 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง แต่ไม่เป็นประตู ส่วนหงส์แดงได้ยิง 9 ครั้งเช่นกัน เข้ากรอบ 3 ครั้ง และทำได้ 2 ประตู

โอกาสของ โอเดการ์ด ที่ไม่เป็นประตู กับโอกาสของ ดิโอโก้ โชต้า ที่เป็นประตู พลิกโฉมหน้าของเกมไปในทันที 

จุดเปลี่ยนต้นครึ่งหลังที่ อาร์เซน่อล ได้ส้มหล่นแต่ทำไม่ได้ ก่อนมาเสียประตูให้ ลิเวอร์พูล ทำให้สถานการณ์พลิกผันชั่วพริบตา 

การเล่นของ อาร์เซน่อล ดร็อปลงอย่างเห็นได้ชัด แถมพอมาโดน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงฝังอีกลูก แข้งปืนใหญ่ก็เหมือนยอมรับสภาพ ไม่มีเอเนอร์จี้ไล่แย่งบอลเหมือนที่เห็นในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูล จึงควบคุมสถานการณ์ได้หมดหลังได้ประตูนำ 2-0 ในนาที 62 ที่แม้เหลือเวลาอีกร่วมครึ่งชั่วโมงแต่ก็เหมือนเกมจบไปแล้วเพราะ อาร์เซน่อล ถอดใจและไม่มีลูกฮึดใดๆ ให้เห็น  

ความ "คม" และความ "เขี้ยว" ของ ลิเวอร์พูล กำราบ อาร์เซน่อล ได้อีกครั้ง  

ผลการแข่งขันที่จบด้วยชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ทำให้สถานการณ์ลุ้นแชมป์สนุกมากยิ่งขึ้นเพราะ หงส์แดง ไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ เพียงคะแนนเดียวโดยที่แข่งเท่ากัน 29 นัด

ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เคยตามหลัง แมนฯ ซิตี้ เกือบสิบคะแนน แต่หลังจากชนะ 9 นัดติดต่อกันในลีก ขณะที่เรือใบสีฟ้ามีสะดุดทั้งเกมพ่าย สเปอร์ส คาบ้าน และนัดล่าสุดที่เสมอ พาเลซ แบบไร้สกอร์ ช่องว่างจึงเหลือเพียงคะแนนเดียว

9 นัดสุดท้ายจึงวัดกันแบบนัดต่อนัดระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ โดยที่ทั้งสองทีมมีโปรแกรมต้องเจอกันเองที่ สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ในวันที่ 10 เมษายนนี้ 

เช่นเดียวกับการลุ้นท็อปโฟร์ที่เมื่อ อาร์เซน่อล แพ้คาบ้านก็ทำให้ไม่สามารถฉีกหนี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงทีมอื่นๆ ได้

ติอาโก้ แก้ตัวทำแอสซิสต์ประตูแรก

ปืนใหญ่นำหน้าผีแดงอยู่ 1 คะแนน และห่าง เวสต์แฮม กับ สเปอร์ส 3 คะแนน ส่วน วูล์ฟส์ ก็ยังไม่ได้ถูกทิ้งไปไกลเพราะตามหลังท็อปโฟร์ 5 คะแนน

อาร์เซน่อล ยังมีเกมตกค้างในมืออีก 2 นัด แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งการันตีว่าได้ 6 คะแนนแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นโปรแกรมที่ต้องเจอกับ เชลซี และ สเปอร์ส แถมยังต้องตัดแต้มกันเองกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกด้วย 

การแย่งชิงอันดับ 4 ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลจึงสนุกและน่าติดตามไม่แพ้การลุ้นแชมป์ และอาจจะเข้มข้นมากกว่าด้วยซ้ำเพราะ 4-5 ทีมที่มีเอี่ยวตอนนี้ จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สมหวังได้ตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า