รีวิวแดงเดือด (ในสนาม)
นี่คือนัดแรกของทั้งสองทีมในการลงอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่นเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มฤดูกาล 2022/23 ในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ เรื่องของผลการแข่งขันจึงไม่ใช่สิ่งชี้วัดคุณภาพที่แท้จริงของทั้งสองทีม
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เกมนี้เป็น "แดงเดือด" ของสองทีมคู่ปรับ มันจึงเป็นเกมที่มากกว่าอุ่นเครื่องทั่วไป และนี่คือประเด็นน่าสนใจที่เกิดขึ้นในการเจอหนล่าสุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ต่อหน้าแฟนบอลในบ้านเรา
ผีแดงเอาจริง
เทียบตัวจริง 11 คนแรกระหว่างทั้งสองทีมจะเห็นชัดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด "เอาจริง" ทีเดียวเพราะ เอริก เทน ฮาก จัดชุดที่ดีสุดเท่าที่จะทำได้ และขาดเพียง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ไม่ได้เดินทางมาอย่างที่ทราบกัน
ผู้รักษาประตูเป็น ดาบิด เด เคอา กองหลังแบ็กโฟร์ประกอบด้วย ดิโอโก้ ดาโลต์, ราฟาแอล วาราน, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ และ ลุค ชอว์
แดนกลางมี เฟร็ด จับคู่กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เป็นเพลย์เมกเกอร์
ส่วนสามประสานแดนหน้าใช้ เจดอน ซานโช่, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทางซ้าย
การเปลี่ยนตัวของ เอริก เทน ฮาก ปรับครั้งเดียวช่วงพักครึ่งที่เปลี่ยนยกชุด 11 คน ทำให้ใช้ผู้เล่นทั้งหมดแค่ 22 คน ไม่มีเปลี่ยนเพิ่มเติมใดๆ ซึ่งชุดสองที่ลงเล่นก็เป็นกลุ่มดาวรุ่งและตัวสำรอง
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่แค่การจัดตัวลงสนามที่เน้นมาก แต่การเล่นยังเต็มที่ มุ่งมั่นสุดๆ มีความกระตือรือร้น นักเตะขยันไล่เพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน บีบให้ ลิเวอร์พูล เล่นลำบากและมีความผิดพลาดเกิดขึ้นหลายครั้ง
ทัพผีแดงได้สามประตูนำห่างตั้งแต่ครึ่งแรกจากความเอาจริงเอาจังในการเล่นและฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของหงส์แดงเอาไว้ได้
แม้ชุดครึ่งหลังจะมีเด็กและสำรองลงกันหลายคน แต่ด้วยสกอร์ที่นำห่างทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่กดดันมากนัก และสามารถรับมือ ลิเวอร์พูล ได้ดีแม้ช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายหงส์แดงจะส่งชุดใหญ่ลงมาก็ตาม
หงส์เน้นทดลองผู้เล่น
ขณะที่ ลิเวอร์พูล มีตัวหลัก 5 รายในตัวจริงชุดแรกคือ อาลีสซง เบ็คเกอร์, โจ โกเมซ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งถ้านับจริงๆ ก็มีแค่ อาลีสซง, เฮนโด้ และ ดิอาซ ที่เป็นตัวจริงในฤดูกาลล่าสุด
ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาวรุ่งอายุไม่เกิน 21 ปีไม่ว่าจะเป็น อิซัค มาบาย่า (17 ปี), ลุค แชมเบอร์ส (18 ปี), ไทเลอร์ มอร์ตัน (19 ปี), ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ (19 ปี) และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (19 ปี) ส่วน นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ อายุ 25 ปี
เจอร์เก้น คล็อปป์ แยกทีมเป็น 3 ชุด เล่นชุดละ 30 นาที โดยชุดสองมีตัวหลักอย่าง โจแอล มาติป, เจมส์ มิลเนอร์, คอสตาส ซิมิคาส ประคองน้องๆ (จริงๆ มี อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ด้วย แต่ไม่อาจจัดอยู่ในกลุ่มเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยน้องๆ ได้อย่างที่ควรจะเป็น)
ส่วนชุดสุดท้ายมีตัวหลักลงเพียบไม่ว่าจะเป็น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, นาบี เกอิต้า, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รวมถึงหัวหอกตัวใหม่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ
จากการจัดตัวและช่วงเวลาในการเปลี่ยนตัวเห็นชัดว่า คล็อปป์ ตั้งใจทดลองผู้เล่นให้ทั่วถึง โดยผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ 30 คนได้เล่นคนละ 30 นาที
ส่วนผู้รักษาประตูที่เป็นตำแหน่งซึ่งไม่ได้เหนื่อยมากก็ใช้สองคนพอ แบ่งกันเฝ้าเสาคนละครึ่งเวลา อาลีสซง เล่นครึ่งแรก อาเดรียน เล่นครึ่งหลัง รวมแล้ว คล็อปป์ ใช้ผู้เล่นทั้งหมด 32 คน
การเปลี่ยนตัวและช่วงเวลาในการเปลี่ยนจะเห็นชัดว่า คล็อปป์ ยึดตามที่เตรียมเอาไว้ก่อนเกม แม้โดนนำห่างถึง 3-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรก แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนแผนในการทดลองผู้เล่น
ความฟิตต่างกัน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาเกินคาดคือ ความฟิตของนักเตะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ดูจะมีมากกว่า ลิเวอร์พูล
แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มเข้าแคมป์ฝึกซ้อมในวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน ซึ่งมีแข้งชุดใหญ่หลายคนมารายงานตัววันแรกม่ว่าจะเป็น ดาบิด เด เคอา, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่, ฟิล โจนส์, ลุค ชอว์, ทอม ฮีตัน, อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอร์เลิฟ ฯลฯ รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่กลับมาจากปล่อยให้ เอฟเวอร์ตัน และ เซบีย่า ยืมใช้งานตามลำดับ
ส่วน ลิเวอร์พูล เริ่มต้นช้ากว่าหนึ่งสัปดาห์เพราะฤดูกาลก่อนจบช้าจากการที่ต้องลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม หรือ 6 วันหลังนัดปิดสนามพรีเมียร์ลีก
ชุดแรกของหงส์ที่เข้าแคมป์มีตัวหลักอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, หลุยส์ ดิอาซ, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โจ โกเมซ, อิบราฮิม่า โกนาเต้, โฌเอล มาทิป, เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ ติอาโก้ อัลกันตารา
จากนั้นพวกบรรดานักเตะทีมชาติก็ทยอยกลับมาซ้อมในช่วงก่อนออกเดินทางมาเยือนประเทศไทย และบางรายเช่น ซาลาห์ และ นูนเญซ ก็ซ้อมกับทีมครั้งแรกตอนอยู่ที่บ้านเรานี่เอง
แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าแคมป์ก่อน และ เอริก เทน ฮาก จัดการเคี้ยวหนักตั้งแต่วันแรก แม้หลายอย่างไม่ง่ายเพราะต้องเริ่มต้นใหม่ แต่การที่นักเตะตอบสนองในทางบวกต่อการมาของกุนซือชาวดัตช์ก็ทำให้การเตรียมทีมช่วงปรีซีซั่นรุดหน้ากว่า ลิเวอร์พูล เล็กน้อย
ความฟิตของนักเตะมีผลอย่างยิ่งในสนาม จังหวะ 50-50 จังหวะเบียดแย่งบอลกัน การคิดการตัดสินใจที่หากช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีก็เสียเปรียบแล้ว หรือคิดได้ แต่ร่างกายยังเข้าที่ก็ไม่สามารถเล่นอย่างที่คิด
แมนฯ ยูไนเต็ด จึงสามารถไล่เพรสซิ่งได้ดีกว่า ลิเวอร์พูล ที่ยังต้องเรียกความฟิตกันอีกพักใหญ่
นัดแรกของ เทน ฮาก มีทิศทางที่ดี
จริงอยู่ว่าเกมนี้เป็นเพียงเกมอุ่นเครื่องและเป็นนัดแรกในช่วงปรีซีซั่นที่ไม่อาจชี้วัดอะไรได้ แต่อย่างน้อย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีแง่บวกหลายอย่างให้ได้เห็น
เทน ฮาก คุมทีมนัดแรก เขาต้องการเริ่มต้นให้ดีต่อให้เป็นเกมอุ่นเครื่องก็ตาม และยิ่งในฤดูกาลล่าสุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดน ลิเวอร์พูล กระหน่ำรวม 9-0 พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับเกมนี้มากกว่าแค่อุ่นเครื่อง
ชุดแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นตามที่ เทน ฮาก ฝึกซ้อมมาตลอดสองสัปดาห์ทั้งการคิดเร็วทำเร็ว ต่อบอลกันลื่นไหล และไม่ลนลานในเวลาโดนเพรสซิ่ง
เจดอน ซานโช่ มีบทบาทในเกมรุกอย่างมากกับการเล่นตำแหน่งถนัดตัวรุกฝั่งขวาในระบบสามกองหน้า ขณะที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ก็มีความมุ่งมั่นที่ดีแม้ฤดูกาลล่าสุดจะไม่น่าจดจำทั้งตอนที่อยู่กับทีมและช่วงถูกส่งให้ เซบีย่า ยืมใช้งาน
ไม่ใช่แค่ มาร์กซิยาล ที่เหมือนไม่มีบทบาทกับทีมในฤดูกาลก่อน แต่เล่นได้ดีในแดงเดือดหนนี้ เอริก ไบยี่ ที่หลายคนอาจลืมไปแล้วก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในการลงสนามช่วงครึ่งหลัง แถมมีส่วนกับประตูปิดท้ายที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุกพาบอลขึ้นมาเองก่อนทำทางให้เพื่อนร่วมทีม
ที่ต้องชมมากเป็นพิเศษคือบรรดาดาวรุ่งที่เล่นได้น่าประทับใจหลายคนโดยเฉพาะคู่มิดฟิลด์ตัวกลางในครึ่งหลังที่ ชาร์ลี ซาเวจ กับ ซีดาน อิคบัล รับช่วงต่อจาก เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์
ช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล ส่งตัวหลักลงคือบททดสอบของสองกองกลางดาวรุ่งผีแดง แต่ทั้งคู่ก็รับมือได้อย่างไม่สะทกสะท้าน การเล่นเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และมีจังหวะน่าจดจำไม่ว่าจะเป็น อิคบัล โยกหลอก ฟาบินโญ่ จนหลงทาง ขณะที่ ชาร์ลี ซาเวจ ก็โชว์ท่า มาราโดน่า เทิร์น ต่อหน้าต่อตา ซาลาห์
สู้กันสนุกมากกว่าอุ่นเครื่องทั่วไป
ส่วนใหญ่แล้ว เกมอุ่นเครื่องโดยฉพาะนัดแรกมีโอกาสสูงที่จะออกมาน่าเบื่อ ไม่สนุก เพราะนักเตะเพิ่งเข้าแคมป์ปรีซีซั่น การเล่นจึงเหมือนกึ่งๆ ซ้อมใหญ่ ไม่ได้ใส่กันแบบเอาเป็นเอาตาย
แต่เกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล นัดนี้ถือว่า "สนุก" มากทีเดียวเพราะขึ้นชื่อว่าเป็น "แดงเดือด" ต่อให้เป็นเกมอุ่นเครื่อง แต่เรื่องของศักดิ์ศรีก็ค้ำคอกันอยู่ นักเตะเองก็รู้ว่าแฟนบอลรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นทีมรักได้เจอคู่แข่งสำคัญแบบนี้
ดังนั้นเราจึงได้เห็นจังหวะฟาวล์หนักๆ เกิดขึ้นหลายครั้งโดยเฉพาะ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่เข้าบอลแต่ละครั้งไม่มียั้งเลย ใครจะมองเป็นเกมอุ่นเครื่องก็มองไป แต่ แม็คโทฯ ซีเรียสกว่านั้น
การเล่นโดยรวมไม่มีช่วงที่เกมเนือย หรือน่าเบื่อ เพราะผลัดกันรุกผลัดกันรับ ลิเวอร์พูล ยิงไม่ได้ แต่มีโอกาสหวาดเสียวหลายต่อหลายครั้งและชนเสาไป 3 หน ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีโอกาสได้มากกว่า 4 ประตู
การเปลี่ยนตัวผู้เล่นที่ ลิเวอร์พูล มี 3 ชุด และ แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนอีกชุดช่วงพักครึ่ง ก็สร้างความตื่นตัวและน่าสนใจในการเล่นโดยตัวของมันเองอยู่แล้วเพราะแต่ละชุดของผู้เล่นก็มีรายละเอียดต่างกัน
หรือการที่ คล็อปป์ ส่งตัวใหม่ นูนเญซ ลงเล่นในครึ่งชั่วโมงสุดท้ายทั้งที่ไม่ฟิตเลยและได้ซ้อมกับทีมแค่สองวันที่ไทย ก็เห็นชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับแฟนบอลในบ้านเราที่อยากเห็นฟอร์มกองหน้าตัวใหม่
นักเตะที่เพิ่งย้ายมาและได้ซ้อมเพียงน้อยนิด ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งส่งลงสนามเลย เต็มที่สัก 15 นาทีก็ถือว่ามากแล้ว แต่ คล็อปป์ จัดให้เห็น 30 นาทีไปเลย
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้แดงเดือดนัดประวัติศาสตร์บนแผ่นดินสยามเป็นเกมที่สนุกและน่าประทับใจสำหรับแฟนบอลโดยเฉพาะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่รู้สึกมีความหวังกับฤดูกาลใหม่ขึ้นมาบ้าง ส่วน ลิเวอร์พูล ก็คงไม่ได้ซีเรียสมากนักเพราะมั่นใจในศักยภาพของทีมอยู่แล้วว่าเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง "หงส์แดง" ก็พร้อมสยายปีกท้าทายทุกทีมได้เสมอ
แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องรอนานสำหรับโอกาสในการแก้มือเพราะฤดูกาลใหม่เจอกันเร็วตั้งแต่นัดที่ 3 ในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม ซึ่งคราวนี้จะได้เห็นกันชัดเจนว่า "ของจริง" เป็นอย่างไร
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT