เอดู กับแผน 5 ปีสร้างปืนให้เปรี้ยง (1)
ทีมปืนใหญ่ไม่เพียงทำได้ดีในเรื่องผลการแข่งขันที่ต่างจากช่วงออกสตาร์ตฤดูกาลที่แล้วลิบลับ แต่ขุมกำลังของทีมชุดปัจจุบันยังเปลี่ยนจาก 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
พวกเขากลายเป็นทีมพลังหนุ่มที่แกนหลักหลายคนล้วนอายุน้อย เช่นเดียวกับตัวกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า และอาจรวมไปถึง เอดู ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคที่หนุ่มแน่นไม่แพ้กัน
อะไรคือเบื้องหลังในการเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และทิศทางที่กำลังเลือกเดินอยู่ในเวลานี้ถูกต้องหรือไม่ คนที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดคงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก เอดู ผู้ที่เคยเป็นอดีตแข้งชุดไร้พ่ายและกลับมาบริหารสโมสรเต็มตัว
เอดู ให้สัมภาษณ์ในหลากหลายประเด็นเกี่ยวกับการทำงานที่เขาและทุกคนในสนามช่วยกันวางแผนเอาไว้ว่าต้องการจะเห็น อาร์เซน่อล กลับสู่จุดที่ควรจะเป็นอีกครั้งในช่วงเวลา 5 ปี และตอนนี้การทำงานได้ผ่านมาครึ่งทางแล้ว
อดีตกองกลางทีมชาติบราซิลให้สัมภาษณ์ยาวเหยียดโดยที่มี เจมส์ แม็คนิโคลัส นักข่าวของ ดิ แอธเลติก ให้ความเห็นเพิ่มเติมเพื่อขยายความให้ชัดเจนและชวนตั้งคำถามไปด้วย
∎ แผนยุทธศาสตร์ปัจจุบันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?
เอดู : "ด้วยความเคารพเลยนะ แผนงานนี้เริ่มต้นจริงๆ ตอนเราตัดสินใจปลด อูไน เอเมรี่ (พฤศจิกายน 2019) นั่นคือแผนงานแรกของผมที่เข้าไปคุยกับบอร์ดบริหารเพื่ออธิบายเหตุผลว่าเราต้องเปลี่ยนและต้องเดินทางไปในทิศทางที่ต่างจากเดิม"
"ไอเดียตอนนั้นคือต้องมีโค้ชที่มีไอเดียชัดเจนมากๆ มีแผนงานชัดเจน มีโครงสร้างชัดเจนว่าเราต้องการเล่นแบบไหน และจากจุดนั้นเราก็สร้างบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน"
"หากคุณมีโค้ชและมองออกได้ยากว่าเขาทำทีมเล่นแบบไหนทั้งเรื่องของระบบการเล่น และสไตล์เฉพาะตัว มันก็ทำให้ชีวิตของเรายุ่งยากไปกันใหญ่ เมื่อเป็นแบบนั้นก็สามารถผิดพลาดได้มากมายในการดึงผู้เล่นมาร่วมทีมเพราะเราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทีมเล่นอย่างไร และมันไม่ง่ายในการหานักเตะที่เหมาะสมกับระบบให้กับโค้ชที่เหมาะสมได้"
"เราต้องกล้าหาญจริงๆ ในการตัดสินใจกลางฤดูกาลเพราะคนในสโมสรก็พูดกับผมว่า 'ว้าว เราไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย' ผมก็บอกกลับไปว่า 'ไม่มีปัญหา ที่บราซิลทำกันประจำ ไม่ต้องห่วงหรอก"
"ผมล้อเล่นนะ จริงๆ ผมพูดว่า 'ไม่ ไม่ต้องห่วง เราจะโอเค เมื่อคุณพิจารณาแล้วว่ามันไม่ใช่แผนของเราก็เปลี่ยนเลย ทำให้เร็วที่สุด หรือหากคุณเลื่อนแล้วเลื่อนอีก บางครั้งก็ต้องตัดสินใจให้รวดเร็ว มันเจ็บแหละ แต่ก็ท้าทาย และจำเป็นต้องทำ"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ เอดู เข้าใจว่าการยกเลิกสัญญากับ เอเมรี่ คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงในยุค อาร์เซน่อล ของเขา เขาไม่ได้รับผิดชอบตอนที่ เอเมรี่ ได้รับการแต่งตั้งในเดือนพฤษภาคม 2018 ตอนนั้น อาร์เซน่อล พิจาณาที่จะแต่งตั้ง มอนชี่ ที่คุ้นเคยกับ เอเมรี่ เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคด้วย"
"แม้ว่า เอดู จะค่อนข้างสุภาพมากกว่าที่จะพูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า อาร์เซน่อล ในยุค เอเมรี่ เป็นทีมที่ยุ่งเหยิง ขาดอัตลักษณ์ชัดเจน และแน่นอนว่าแฟนบอลส่วนใหญ่มองเห็นในแบบเดียวกัน"
"เอดู เข้าใจอ้างถึงวงการฟุตบอลบราซิลในการปลดผู้จัดการทีมอย่างรวดเร็ว แต่หลักใหญ่ใจความที่ซ่อนอยู่คือ เขาพิจารณาถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงที่เร่งด่วน มันไม่ใช่แนวทางของ อาร์เซน่อล แต่เป็นสิ่งจำเป็น"
"อาร์เซน่อล ในตอนนั้นเป็นสโมสรที่ไม่มีทิศทางชัดเจน การแต่งตั้ง อาร์เตต้า เข้ามา และบทบาที่เพิ่มขึ้นของ เอดู เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้กลยุทธ์สำหรับการสร้างทีมเพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางของสโมสร"
∎ ทำไมถึงเลือก มิเกล อาร์เตต้า
เอดู : "ตอนที่ผมพบกับ มิเกล ผมไปที่บ้านของเขา เราเข้ากันได้ดีมากในทันทีเลยทั้งการพูดคุย ไอเดีย ฯลฯ
"ผมเห็นเลยว่าคนนี้มีแผนงาน เป็นแผนฟุตบอล สไตล์การเล่น นักเตะ คาแรกเตอร์เฉพาะตัว มีแนวคิดทางเทคนิคมากๆ ต้องการเล่นแบบไหน เพรสซิ่งอย่างไร เทคนิคมากมายเลย เขาแสดงให้ผมเห็นว่ามีไอเดียที่ชัดเจนสุดๆ ว่าเขาต้องการเล่นฟุตบอลอย่างไรซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ และตอนนี้เขาก็กำลังทำให้ก้าวเดินของสโมสรง่ายขึ้น"
"ผมก็เลยนำเสนอแผนงาน 5 ปีต่อสโมสร ผมบอกกับ มิเกล และบอร์ดบริหารว่า "ฟังนะ ฤดูกาล 2022/23 จะเป็นฤดูกาลที่เราดีขึ้นอย่างมาก แต่เราต้องอดทน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะโละทุกคนออกไปหมดและดึงทุกคนเข้ามาแทนที่ทันใด เราต้องการกระบวนการในการทำ เราต้องตัดสินใจให้ดี เราต้องกล้า และต้องเจอกับช่วงเวลายากลำบากบ้างทั้งกับนักเตะ เอเยนต์ ฯลฯ แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของแผนงาน"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "เอดู ท้าทาย อาร์เตต้า และทีมว่าฤดูกาลใหม่นี้จะเป็นฤดูกาลที่ อาร์เซน่อล น่าจะกลับมาผงาดอีกครั้ง ทำไมจะเป็นแบบนั้นไม่ได้หละ? ผู้จัดการทีมได้รับการสนับสนุนเงินทุนอย่างเต็มที่ รวมไปถึงความอดทนของบอร์ดบริหาร"
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เอดู มีแนวคิดแบบนี้ ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม 2020 ดิ แอธเลติก เคยรายงานว่า เอดู เชื่อมั่นในทีมจะสามารถต่อสู้ได้อย่างแท้จริงในฤดูกาล 2022/23"
"ระหว่างการสนทนา เอดู ยอมรับว่าการได้ผ่านไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลที่แล้วจะเป็นการบรรลุเป้าหมายล่วงหน้าหนึ่งปีจากที่วางแผนเอาไว้ นั่นคือความชัดเจนว่าเป้าหมายสำหรับฤดูกาล 2022/23 คือการกลับไปเล่นในรายการใหญ่สุดของยุโรปให้ได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยการจบท็อปโฟร์ หรือในฐานะแชมป์ยูโรปา ลีก"
"ความเคารพของ เอดู ที่มีต่อ อาร์เตต้า เห็นได้ชัดมาตลอด เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์ในการสร้างทีมไม่ใช่แผนของเขาเพียงคนเดียว แต่บางอย่างก็ได้รับไอเดียจากผู้จัดการทีม ทีมผู้บริหาร และบอร์ดบริหาร ทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการครั้งนี้"
"จริงอยู่ว่ามีความขัดแย้งที่ชัดเจนในเรื่องนี้อยู่ หาก อาร์เซน่อล และเอดู มีแผนที่จะฟื้นฟูทีมขึ้นมาใหม่ในเดือนธันวาคม 2019 ทำไมจึงเลือกเซ็นสัญญานักเตะที่เข้าสู่ปลายอาชีพอย่าง ดาวิด ลุยซ์ และ วิลเลี่ยน?"
∎ ทำไมถึงเซ็นสัญญากับนักเตะอายุเยอะอย่าง ดาวิด ลุยซ์ และ วิลเลี่ยน
เอดู : "ตอนเรานำเสนอแผนงานต่อบอร์ดบริหาร เราได้รับคำแนะนำดีๆ มากมาย และระหว่างสองปีแรกในแผนงานนี้ ดาวิด ลุยซ์ กับ วิลเลี่ยน ก็เป็นผู้เล่นที่เรามองในตอนนั้นว่าสามารถช่วยในระยะสั้นให้ทีมรักษาระดับที่ดีได้"
"ถูก หรือ ผิด มันก็เป็นไอเดียนะ คือผมจะบอกว่า 'ว้าว! วิลเลี่ยน เป็นฟรีเอเยนต์ คือถ้าเขารู้สึกโอเค เขาน่าจะช่วยเราในระยะสั้นๆ ได้ ส่วน ดาวิด ลุยซ์ ก็มีประสบการณ์และรู้จักพรีเมียร์ลีกดี งั้นโอเคสำหรับการเข้ามาระยะสั้นซึ่งบางทีก็น่าจะช่วยได้ในกระบวนการของเรา สุดท้ายแล้วออกมาเวิร์ก หรือไม่เวิร์ก มันก็คือไอเดียที่เรามี"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากระบวนการใดๆ คือต่อให้มีตรรกะหรือแนวความคิดที่ดีอยู่เบื้องหลังมันก็อาจจะผิดพลาดได้เหมือนกัน ในรายของ ดาวิด ลุยซ์ ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่าเขาประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ความล้มเหลวของ วิลเลี่ยน คือสิ่งที่คิดเห็นตรงกัน"
"ชัดเจนว่า อาร์เซน่อล และ เอดู รู้สึกว่าพวกเขาต้องการผู้เล่นที่มีประสบการณ์เพื่อมาช่วยอุดรอยรั่วในช่วง 2 ปีแรก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เลือกออกมาแล้วถูกต้อง แต่ก็หวังว่าจะได้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้"
∎ ขั้นตอนในการสร้างทีมให้เหมาะสม
เอดู : "ฟังนะ สำหรับผมมันมีอยู่สามองค์ประกอบซึ่งตามหน้าที่แล้วผมจำเป็นต้องทำให้ชัดเจนหนักแน่นในสิ่งที่บอกกับนักเตะ เมื่อนักเตะอายุ 26 ปีขึ้นไป มีค่าเหนื่อยก้อนโต แต่ไม่ได้ทำผลงานดี นักเตะแบบนี้กำลังฆ่าคุณอยู่ เพราะคุณไม่มีการกำหนดมูลค่าในการขายนักเตะ และนักเตะก็อยู่สบายๆ ได้อยู่กับ อาร์เซน่อล ได้อยู่ในลอนดอน เมืองสวยงาม ทุกอย่างดีงามไปหมด รายได้ก็ดี คุณจะจัดการนักเตะแบบนี้อย่างไร?
"แล้วที่ผ่านมาในอดีตเรามีนักเตะลักษณะนี้มากแค่ไหน? คำตอบคือ 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นทั้งหมด ผมจึงต้องบอกพวกเขาเมื่อผมตัดสินใจในแผนงาน 'ฟังนะ มันไม่ง่ายในการจัดการขุมกำลังให้พอดีในทันทีทันใดเพราะนักเตะส่วนใหญ่ต่างมีสัญญาเหลืออยู่สองปี สามปี หรือสี่ปี"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "เอดู จัดการนักเตะย้ายเข้า-ย้ายออกจำนวนมากนับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้อำนวยการเทคนิค ต่อให้ไม่นับซัมเมอร์ปี 2019 ที่เพิ่งเริ่มรับตำแหน่งใหม่และยังทำงานภายใต้การดูแลของ ราอูล ซานเญฮี แต่ก็มีผู้เล่น 16 คนย้ายถาวรออกจากสโมสร"
"อย่างไรก็ตามมีเพียง เอมิ มาร์ติเนซ, โจ วิลล็อค และ อเล็กซ์ อิโวบี้ ที่แต่ละดีลขายได้เกิน 15 ล้านปอนด์ จะเห็นได้ว่าทั้งสามคนไม่ได้เข้าข่ายนักเตะที่เขาพูดถึงในข้างต้น ทำให้การขายนักเตะทำได้ง่ายกว่า
∎ ปัญหาในการขายนักเตะ
เอดู : "หากคุณจินตนาการดู 'โอ้! ไม่มีปัญหาหรอก ฤดูกาลนี้เรากำลังจะให้โอกาสนักเตะเพิ่มอีกนิด และจากนั้นก็ขายพวกเขา ไม่เลย เราต้องอยู่กับความจริง คุณไม่ต้องการขายนักเตะออกไป แต่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาอีกหนึ่งปีที่มีปัญหาข้างใน นักเตะค่าเหนื่อยแพงแต่ไม่สามารถทำผลงานได้ ผมขอโทษนะ แม้ว่าจำเป็นจ่ายเงินชดเชย การย้ายออกไปก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า"
"ผมรู้ว่ามันเจ็บปวด ผมรู้ว่ามันแปลกเมื่อคุณเดินเข้าไปหาบอร์ดบริหารเพื่อบอกว่า 'บางครั้งมันดีกว่าที่เราจะจ่ายเงินเพื่อให้นักเตะย้ายออกไป ดีกว่าจะเก็บพวกเขาเอาไว้' แต่ผมพิจารณาจากการลงทุน บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ผมบอกว่ามันคือการลงทุน ถ้าคุณมีผู้เล่นที่อายุมากกว่า 26-27 ปี แล้วทำผลงานไม่ดี ค่าเหนื่อยก้อนโต มันแทบจะไม่มีโอกาสขายได้เลย"
"ช่วยบอกผมหน่อยว่ามีผู้เล่นกี่คนที่เข้าข่ายเชิงลบกับทีมในวันนี้ ผมสามารถบอกคุณได้ว่า ซัมเมอร์หน้า มาดูการประเมินมูลค่านักเตะที่เรามี อายุของกลุ่มผู้เล่นที่เรามี และค่าเหนื่อยที่เราจ่ายในวันนี้ นั่นคือส่วนหนึ่งของแผนงาน เรากำลังสร้างมูลค่าให้กับผู้เล่นของเราในวันนี้"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "นี่อาจจะเป็นเรื่องที่เกิดข้อถกเถียงมากสุดในการให้สัมภาษณ์ของ เอดู ครั้งนี้ และเขาเองก็น่าจะรู้กับการนำเรื่องไปคุยกับบอร์ดบริหาร"
"อาร์เตต้า และ เอดู พยายามเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมสโมสรและการตัดสินใจก็อาจต้องมีราคาค่างวดที่ต้องจ่าย พวกเขารู้สึกว่าใกล้ทำได้สำเร็จแล้วกับค่าเหนื่อยรวมที่น้อยลงและได้ทีมที่มีแรงกระตุ้นมากขึ้น"
"แน่นอนว่าการปล่อยนักเตะย้ายออกไปฟรีๆ หรือยอมจ่ายชดเชยให้ย้ายไม่ใช่การแก้ปัญหาถาวร แต่ เอดู เชื่อว่า อาร์เซน่อล ใกล้ที่จะยุติวงจรนั้นได้"
∎ จังหวะเวลาที่ต่อสัญญาฉบับใหม่กับ อาร์เตต้า
เอดู : "ผมก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการนี้เช่นกัน ผมสามารถแนะนำได้ สามารถพูดได้ แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจอยู่ที่เจ้าของทีม และบอร์ดบริหาร"
"มันก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเช่นกัน เพราะเราได้พูดคุยกันว่า โอเคตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่ตลาดซื้อขายนักเตะ และหากคุณต้องการอยู่กับสโมสรอย่าง อาร์เซน่อล และเพื่อให้คนมองเราว่าจัดการได้ดีมากๆ มีการวางแผนที่ดี ผู้จัดการทีมของเราก็ควรได้รับการต่อสัญญา"
"เอเยนต์และนักเตะ เกิดคำถามอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นที่นั่น หนึ่งปี? หกเดือน? หรือว่าสัญญาสามปี? เราบอกว่าไม่ๆ เขาคือโค้ชของเรา เขาคือผู้จัดการทีมของเรา และเขาจะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อยสามปี นั่นคือการหลีกเลี่ยงข้อสงสัยเมื่อคุณกำลังเซ็นสัญญาผู้เล่นใหม่"
ความเห็นของ เจมส์ แม็คนิโคลัส : "สิ่งนี้ชัดเจนในตัวมันเอง เป้าหมายหลักของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาล 2021/22 คือการกลับไปเล่นฟุตบอลยุโรป เมื่อพวกเขาทำได้สำเร็จ (ตอนการันตีพื้นที่ยุโรปแน่นอนแล้ว) สัญญาของ อาร์เตต้า ก็ถูกขยายออกไป กาเบรียล เซซุส หรือโอเล็กซานเดอร์ ชินเซนโก้ จะยอมย้ายร่วมทีมหรือไม่ หากอนาคตของ อาร์เตต้า ไม่ชัดเจน?"
(โปรดติดตามต่อในตอนที่ 2 ที่มีประเด็นน่าสนใจทั้งการพลาดท็อปโฟร์ในฤดูกาลที่แล้ว, การเจรจานักเตะในซัมเมอร์นี้โดยเฉพาะ กาเบรียล เชซุส รวมไปถึงการล้มโต๊ะเจรจาทันทีกับนักเตะที่เรียกร้องเงินอย่างเดียว)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT