ทำไม 'เปเป้' ไม่ปังในรังปืน
เปเป้ ย้ายจาก ลีลล์ มาร่วมทีม อาร์เซน่อล เมื่อสามปีที่แล้วด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 72 ล้านปอนด์ แต่ซัมเมอร์นี้ต้องกลับไปค้าแข้งในลีก เอิง อีกรอบ หลังกลายเป็นส่วนเกินของทีมปืนใหญ่
นีซ อาสาชุบเลี้ยง เปเป้ ด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งฤดูกาล ไม่มีเงื่อนไขซื้อขาด ขณะที่สัญญาในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของปีกไอวอรี่ โคสต์ ยังมีถึงซัมเมอร์ 2024
เกิดอะไรขึ้นกับนักเตะที่เป็นถึงเจ้าของสถิติค่าตัวแพงสุดของสโมสร แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ และมาอยู่ในจุดที่ อาร์เซน่อล ปล่อยตัวออกจากทีม?
1. การเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหาร
หลังจาก นิโกล่าส์ เปเป้ ย้ายมาร่วมทีมปืนใหญ่ไม่นาน คนในฝ่ายบริหารหลายคนที่มีส่วนในดีลนี้ต่างแยกย้ายออกจากสโมสร
เริ่มตั้งแต่ ราอูล ซานเยฮี ที่ตอนนั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมฟุตบอล และเป็นตัวตั้งตัวตีในการดึง เปเป้ มาร่วมทีม
อูไน เอเมรี่ กุนซือชาวสแปนิชต้องการเซ็นสัญญากับ วิลฟรีด ซาฮา ของ คริสตัล พาเลซ มากกว่า ทว่าไม่ได้รับความเห็นชอบ และเป็น เปเป้ ที่ถูกเลือกมาแทน
ราอูล ซานเยฮี อำลาสโมสรหลังดึง เปเป้ มาร่วมทีมไม่นาน
อีกคนคือ ฮัสส์ ฟาห์มี่ หัวหน้าฝ่ายเจรจาสัญญาที่เป็นคนพูดคุยกับ เปเป้ และจัดการรายละเอียดทุกอย่างในสัญญา คนนี้มีบทบาทไม่แพ้กันในดีลนี้
แต่ทั้งคู่ได้ออกจากสโมสรไปในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านโครงสร้างการบริหาร
เอดู ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคพร้อมกับไอเดียในการทำงานแบบใหม่ ขณะที่ มิเกล อาร์เตต้า ที่ถูกดึงมาแทน เอเมรี่ ในช่วงปลายปี 2019 ก็มีปรัชญาการคุมทีมในแบบตัวเอง แม้จับงานโค้ชเต็มตัวครั้งแรกในอาชีพ
การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อ นิโกล่าส์ เปเป้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ไม่มีความคงเส้นคงวา
อาจไม่ยุติธรรมเกินไปนักหากจะบอกว่า นิโกล่าส์ เปเป้ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีด้านบวกให้พูดถึงเลย
ในความเป็นจริง เปเป้ ก็มีบางช่วงเวลาที่ทำได้ดีซึ่งรวมถึงฟอร์มการเล่นช่วงท้ายฤดูกาลแรกของ อาร์เตต้า ที่เขามีส่วนสำคัญช่วยทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง และเป็นคนทำแอสซิสต์ประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย
ฤดูกาล 2020/21 ที่เป็นการคุมทีมเต็มตัวฤดูกาลแรกของ อาร์เตต้า เปเป้ ยิงได้ 16 ประตูจากทุกรายการ โดยที่เป็น 8 ประตูจาก 11 นัดสุดท้าย
แต่ปัญหาของปีกไอวอรี่ โคสต์ คือ ขาดความสม่ำเสมอ บางครั้งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ก็มีอีกหลายครั้งที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เคยพาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ ในช่วงแรกของ อาร์เตต้า
สำหรับนักเตะที่ค่าตัวมากถึง 72 ล้านปอนด์ ผลงานที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ถือว่าไม่ดีพอเพราะความคาดหวังจากทุกคนมีมากกว่านี้
ฟอร์มการเล่นดีๆ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในฟุตบอลถ้วย แต่รายการหลักอย่างพรีเมียร์ลีกแทบไม่มีให้แฟนบอลได้จดจำมากนัก
เมื่อต้องทำงานร่วมกับ มิเกล อาร์เตต้า ที่คาดหวังในตัวนักเตะค่อนข้างสูง ปัญหานี้่ของ นิโล่าส์ เปเป้ เลยกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น
3. ช่วยเกมรับไม่เป็น
อีกหนึ่งจุดอ่อนของ นิโกล่าส์ เปเป้ คือการที่ไม่สามารถช่วยเกมรับของทีมได้ดีพอโดยเฉพาะกับแนวทางฟุตบอลของ มิเกล อาร์เตต้า
อาร์เตต้า ไม่ใช่โค้ชที่ปล่อยให้ผู้เล่นเกมรุกเอาแต่ปักหลักในตำแหน่งตัวเองเพื่อรอรับบอลจากเพื่อนร่วมทีม เขาต้องการเห็นตัวรุกถอยลงมาช่วยไล่บอลและแบ่งเบาภาระในเกมรับด้วย
แต่การเล่นเกมรับไม่ใช่จุดแข็งของ เปเป้ ซึ่งในหลายต่อหลายครั้ง อาร์เตต้า ก็ออกอาการหัวเสียชัดเจนเมื่อเห็นการเล่นของอดีตแข้ง ลีลล์
อาร์เตต้า ต้องคอยสั่งจากข้างสนามอยู่ตลอดเวลาว่า เปเป้ ควรต้องเล่นแบบไหน ต่างจากนักเตะคนอื่นที่เข้าใจการเล่นมากกว่า
หนึ่งในเหตุการณ์สรุปการเล่นของ เปเป้ ที่ไม่เข้าตาของ อาร์เตต้า เกิดขึ้นท้ายฤดูกาลก่อนในเกมกับ แอสตัน วิลล่า
อาร์เซน่อล นำอยู่ 1-0 ตอนเข้าสู่ช่วงทดเจ็บ และ เปเป้ ถูกส่งลงเป็นสำรอง เขาทำฟาวล์แบบไม่จำเป็นจนทีมเสียฟรีคิกหน้าเขตโทษ (แบรนด์ เลโน่ ที่ได้เล่นแทน อารอน แรมส์เดล ป้องกันจังหวะนี้เอาไว้ได้เยี่ยม ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมจะเข้ามารุมดีใจกับเจ้าตัวหลังจบเกม)
แต่สำหรับ อาร์เตต้า นั้นไม่พใอจกับการตัดสินใจเล่นจังหวะนี้ของ เปเป้ อย่างมากและแน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น
4. การก้าวขึ้นมาของ บูคาโย่ ซาก้า
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ นิโกล่าส์ เปเป้ เริ่มกลายเป็นส่วนเกินในทีมคือ การแจ้งเกิดเต็มตัวของ บูคาโย่ ซาก้า ดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชนสโมสร
ในตอนแรก มีไม่กี่คนที่คิดว่า ซาก้า จะกลายเป็นแข้งหลักของทีมชุดใหญ่ในเวลารวดเร็ว แม้ได้รับการยกย่องมาพอสมควรก็ตาม
แต่ทันทีที่เขาเริ่มปักหลักในทีมได้ ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษก็กลายเป็นหนึ่งในชื่อที่ต้องลงตัวจริงแทบตลอด ฤดูกาลที่แล้วเขาเป็นผู้เล่นคนเดียวในทีมที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีกครบ 38 นัด ไม่มีพลาดเลย
ซาก้า ทำได้ดีกว่า เปเป้ ทำรุกและรับ
ซาก้า ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่และคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร เป็นช่วงขาขึ้นของชีวิตที่ตรงกันข้ามกับ เปเป้ โดยสิ้นเชิง
เปเป้ แทบไม่มีทางทวงตำแหน่งตัวจริงกลับคืนมาได้ เขากลายเป็นสำรองของ ซาก้า ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจนทั้งเกมรุกและเกมรับ
5. ไม่เข้าระบบของ อาร์เตต้า
ตอนที่ เปเป้ ถูกดึงมาจาก ลีลล์ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมรุกที่อันตรายที่สุดกับการเล่นจังหวะโต้กลับ
ฤดูกาลสุดท้ายในฝรั่งเศส เปเป้ ยิงได้ถึง 22 ประตู ซึ่งหลายประตูมาจากการใช้ความเร็วในการลากเลื้อยในพื้นที่ว่างหลังทีมเปลี่ยนจากรับเป็นรุก
แต่การเล่นที่เคยสร้างชื่อให้ตัวเองเกิดขึ้นน้อยมากที่ อาร์เซน่อล เพราะสไตล์การเล่นของทีมที่เริ่มเปลี่ยนไปในยุค อาร์เตต้า ขณะเดียวกัน คู่แข่งในพรีเมียร์ลีกก็เข้าถึงตัวเร็วกว่าการเล่นในลีก เอิง ชัดเจน
กลับไปเริ่มใหม่ในลีก เอิง
ช่วงที่ เปเป้ เคยทำได้ดีในสีเสื้อปืนใหญ่คือตอนที่ อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมแรกๆ และเน้นเกมรับเพราะทีมเสียประตูค่อนข้างเยอะ ขณะที่เกมรุกหวังผลจากจังหวะโต้กลับเป็นหลัก
เปเป้ มีบทบาทอย่างมากในช่วงท้ายฤดูกาล 2019/20 ที่กลับมาแข่งหลังโควิด เขาพาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ สามารถทำแอสซิสต์ได้ทั้งรอบตัดเชือกและรอบชิงชนะเลิศ
ทว่าหลังจากนั้น การสร้างทีมของ อาร์เตต้า ก็เริ่มเป็นไปตามที่ไอเดียของเขา มีนักเตะใหม่ที่เขาเลือกมาโดยตรง และเล่นในสไตล์ที่ต้องการได้มากขึ้น และทำให้บทบาทของ เปเป้ ลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ
***
แม้ตลอดสามปีที่ผ่านมาจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับ นิโกล่าส์ เปเป้ แต่การกลับไปเล่นในลีก เอิง ครั้งนี้ก็เชื่อว่าหลายคนยังเอาใจช่วยให้เจ้าตัวเค้นฟอร์มเก่งออกมาให้ได้อีกครั้ง
ไม่ใช่เพียง อาร์เซน่อล ที่ยังคาดหวังว่าจะได้เห็น เปเป้ ในร่างใหม่เมื่อครบสัญญายืมตัวในซัมเมอร์ปีหน้า แต่หากทุกอย่างกลับเข้ารูปเข้ารอยได้อีกครั้ง คนที่จะได้ประโยชน์มากสุดก็คือตัวของ เปเป้ นั่นเอง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT