'หนาว' จนถึงตุลาคม
อาร์เซน่อล เคยพลาดท่าแพ้ เบรนท์ฟอร์ด ที่สนาม จีเทค คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม แห่งนี้ในนัดเปิดหัวฤดูกาลที่แล้ว ก่อนโดน เชลซี กับ แมนฯ ซิตี้ ตบซ้ำจนแพ้รวดตลอด 3 นัดแรก
แต่ฤดูกาลนี้ "ปืนใหญ่" คิดบัญชีแข้ง "เดอะ บีส์" ได้ทบต้นทบดอกด้วยคุณภาพการเล่นที่ต่างจากเดิมลิบลับ เช่นเดียวกับขุมกำลังที่แทบจะเป็นคนละชุด
"มันจริงที่ว่าเราทดแทนด้วยผู้เล่นที่ต่างออกไปจากเดิม เราต้องยอมรับมันและสิ่งที่หลายคนบอกว่าเป็นวันแย่ๆ วันอันน่าอับอาย ผมเลือกมองให้เป็นวันในการสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ขึ้นมา"
"หากคุณต้องการเป็นทีมที่แตกต่าง คุณจำเป็นต้องเรียนรู้จากช่วงเวลาเหล่านั้น ต้องก้าวผ่านมันให้ได้ และวันดีๆ แบบนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้"
อาร์เตต้า เปรียบเทียบความต่างระหว่างวันที่เคยแพ้ต่อ เบรนท์ฟอร์ด 0-2 ในฤดูกาลที่แล้ว กับนัดล่าสุดที่บุกเอาคืน 3-0 ด้วยชุดตัวจริงที่เปลี่ยนไปมากถึง 7 ตำแหน่ง
เบน ไวท์, กรานิต ชาก้า, คีแรน เทียร์นีย์ และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ เป็น 4 ตัวจริงที่ลงเหลือมาถึงการเจอกันนัดล่าสุด ทว่าบทบาทและความสำคัญในทีมต่างออกไป
เบน ไวท์ ไม่ได้เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟเหมือนวันนั้น แต่ขยับมาเล่นแบ็กขวา
กรานิต ชาก้า ไม่ได้คอยตัดเกมตรงกลาง แต่ขยับขึ้นสูงมีอิสระในการเล่นเกมรุก
คีแรน เทียร์นีย์ ได้กลับมาลงตัวจริงในวันที่ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ บาดเจ็บ ซึ่งหาก 'ชินนี่' ลงเล่นได้ อาร์เซน่อล กับการเยือน เบรนท์ฟอร์ด อีกครั้งจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากยิ่งกว่านี้
และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่แม้ลุยในตำแหน่งลุยในตำแหน่งตัวรุกฝั่งซ้ายเหมือนเดิม แต่แข็งแกร่ง จัดจ้าน และมั่นใจมากขึ้นในฤดูกาลนี้
ซาลีบา โขกประตูแรก
ส่วนอีก 7 ตำแหน่งที่เปลี่ยนไปล้วนเป็นผู้เล่นที่ยกระดับทีมให้แกร่งขึ้นจากเดิมโดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่นใหม่อย่าง กาเบรียล เชซุส และ ฟาบิโอ วิเอร่า ที่ประเดิมตัวจริงพรีเมียร์ลีก รวมถึง วิลเลียม ซาลีบา ที่อยู่มานานแล้วแต่เพิ่งเล่นให้ทีมเป็นฤดูกาลแรก
แม้ มิเกล อาร์เตต้า จะมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายคนทั้ง มาร์ติน โอเดการ์ด, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, เอมิล สมิธ โรว์, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่, เซดริก โซอาเรส, รีสส์ เนลสัน ฯลฯ ซึ่งเป็นสถานการณ์คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการมาเยือนรังผึ้งน้อยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ขุมกำลัง อาร์เซน่อล ในปัจจุบันมี "คุณภาพ" มากกว่า แถมการได้ โธมัส ปาร์เตย์ หายเจ็บกลับมายิ่งทำให้การเล่นเป็นไปตามแท็กติกที่ อาร์เตต้า วางเอาไว้
นี่จึงเป็นอีกเกมที่ อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดยาวเริ่มเกมจนถึงจบเกม
สิ่งที่ปืนใหญ่ทำได้แต่อีกหลายทีมทำไม่ได้ในการมาเยือน เบรนท์ฟอร์ด คือ คอนโทรลการเล่นและควบคุมสถานการณ์ได้เหนือกว่าเจ้าถิ่นก่อนได้ประตูนำเร็วตั้งแต่ 17 นาทีแรก
อาร์เซน่อล ตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการเล่นลูกตั้งเตะอีกครั้งกับประตูจากลูกเตะมุมที่ บูคาโย่ ซาก้า เปิดให้ วิลเลี่ยม ซาลีบา โขกตุงตาข่าย
ก่อนลงสนามนัดนี้ เบรนท์ฟอร์ด ของ โธมัส แฟร้งค์ เก็บคลีนชีตในบ้านได้ถึง 5 นัดจาก 8 นัดหลังสุดในลีก แต่ครั้งแรกที่เสียเตะมุมในเกมนี้ก็โดน อาร์เซน่อล ทะลวงทันที
เชซุส โหม่งลูกเปิดของ ชาก้า เข้าไปเฉียบขาด
การกลับมาของ ปาร์เตย์ ในรอบ 5 นัดหลังสุดช่วยให้ อาร์เซน่อล ยึดพื้นที่แดนกลางได้อยู่หมัด จังหวะการเล่นลงตัวและเนียนกริบ
ปาร์เตย์ เก็บบอลแถวสองได้ตลอด เอาตัวรอดเก่งในจังหวะโดนรุมแย่ง สินใจเล่นได้ถูกต้องในแทบทุกครั้ง และเป็นตัวดึงจังหวะการเล่นให้ช้าบ้าง เร็วบ้างตามสถานการณ์
นี่คือคุณภาพของ ปาร์เตย์ ในวันที่ไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน และในวันที่อดีตแข้ง แอต.มาดริด เล่นได้เข้าฝัก ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นสำหรับเพื่อนร่วมทีมโดยเฉพาะ กรานิต ชาก้า ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ
ชาก้า เล่นเกมรุกได้สบายใจมากขึ้นเมื่อมี ปาร์เตย์ อยู่ข้างหลังและไม่ต้องคอยวิ่งลงมาช่วยประคองเหมือนที่เล่นกับ แซมบี้ โลคองก้า ในหลายนัดที่ผ่านมา
กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในผู้เล่นปืนใหญ่ที่ทำผลงานได้ดีในช่วงต้นฤดูกาล บทบาทใหม่กับการขยับขึ้นสูงมากกว่าเดิมเปิดโอกาสให้ได้ปลดปล่อยศักยภาพในเกมรุกออกมาได้เรื่อยๆ
ลูกเปิดระดับโลกที่หยอดเข้าหัว กาเบรียล เชซุส บ่งบอกได้อย่างดีว่าการเล่นตอนนี้ของ 'มาเฟียสวิส' เต็มไปด้วยคุณภาพและความมั่นใจ
2-0 ตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแรก และการเล่นของทัพปืนใหญ่ที่เน้นความชัวร์ รัดกุม ไม่ผลีผลามหรือโหมจนเกินไปแทบจะปิดตายโอกาสกลับมาของ เบรนท์ฟอร์ด
เจ้าหนู อีธาน เอ็นวาเนรี่ สร้างประวัติศาสตร์
ขณะที่ประตูในต้นครึ่งหลังของ ฟาบิโอ วิเอร่า ที่ส่องไกลงามหยดจากหน้าเขตโทษก็เหมือนเป็นโบนัสในวันพิเศษฉลองการเป็นตัวจริงครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก
อาร์เซน่อล เอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ได้หมดจดไม่ว่าจะเป็นผลการแข่งขันและรูปแบบการเล่น เจ้าถิ่นพยายามสลับการเล่นทั้งบอลสั้นและยาวเพื่อแก้การเคาเตอร์เพรสซิ่งของปืนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ผล
ฤดูกาลนี้ เบรนท์ฟอร์ด ยิงประตูในบ้านได้ทุกนัดรวม 10 ประตู เป็นรองเพียง แมนฯ ซิตี้ (14 ประตู), สเปอร์ส (13 ประตู) และ ลิเวอร์พูล 12 ประตู) แต่นัดนี้เท้าบอดครั้งแรก และมีโอกาสได้ง้างยิงเพียง 5 ครั้ง (เข้ากรอบ 2 ครั้ง) น้อยกว่าทุกนัดในบ้าน
ช่วงเวลาที่เหลือจึงผ่อนคลายมากพอสำหรับ อาร์เตต้า ที่เลือกให้โอกาสครั้งสำคัญกับ อีธาน เอ็นวาเนรี่ กองกลางดาวรุ่งได้ประเดิมสนามพร้อมทำสถิติใหม่แข้งเด็กสุดลงเล่นพรีเมียร์ลีกด้วยวัย 15 ปี 181 วัน และเป็นสถิติตลอดกาลของลีกสูงสุดอังกฤษที่มีมาเกินหนึ่งร้อยปีอีกด้วย
"ทุกๆ คนมีความสุขกันจริงๆ ในห้องแต่งตัว และด้วยวิธีการที่เราเล่นก็รู้สึกว่าเรากำลังสนุกกับฟุตบอลของเรา มันเป็นอีกก้าวของทีม" อาร์เตต้า กล่าวหลังเกม
ขณะที่ โธมัส แฟร้งค์ ก็ยอมรับในความปราชัยพร้อมยกย่อง อาร์เซน่อล ว่า "เราแพ้ 3-0 ให้กับทีมจ่าฝูง ผมบอกแล้วว่า อาร์เซน่อล คือหนึ่งในทีมระดับท็อป พวกเขาเล่นได้ดีมาก ด้วยคุณภาพที่พวกเขามีก็สามารถลุ้นแชมป์ได้เช่นกัน"
นี่จึงเป็นอีกวันที่สวยงามสำหรับ อาร์เซน่อล ที่กลับไปนำจ่าฝูงอีกครั้งก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติสองสัปดาห์ และแน่นอนได้ "หนาว" ไปจนถึงเดือนตุลาคมที่จะกลับมาแข่งอีกครั้ง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT