ผลลัพธ์ที่ต้องการ
มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนทีม 8 ตำแหน่งจากเกม นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ที่เอาชนะ สเปอร์ส 3-1 โดยให้ กรานิต ชาก้า, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ กาเบรียล มากัลเญส ลงตัวจริงต่อ
เท่ากับว่า 11 ตัวจริงในการรับมือทีมเยือนจากนอร์เวย์ เป็นชุดเดียวกับที่บุกชนะ ซูริค 2-1 ในนัดแรก เมื่อต้นเดือนกันยายน
ก่อนลงสนาม อาร์เซน่อล ที่มี 3 คะแนน หล่นมาอยู่ที่ 3 ของตารางหลัง พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น ที่ลงสนามก่อน บุกชนะ ซูริค ขาดลอย 5-1 จึงมี 4 คะแนนเท่ากับ โบโด กลิมท์
ชัยชนะจึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทีมปืนใหญ่ที่ต้องการคว้าแชมป์กลุ่มให้ได้เพราะจะทำให้เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปลุ้นอีกนัดในรอบเพลย์ออฟหากว่าจบอันดับ 2 ของตาราง
รายชื่อสำรองข้างสนาม อาร์เตต้า จัดชุดใหญ่เอาไว้เผื่อจำเป็นมีทั้ง กาเบรียล เชซุส, มาร์ติน โอเดการ์ด, บูคาโย่ ซาก้า, โธมัส ปาร์เตย์, เบน ไวท์ และ วิลเลี่ยม ซาลีบา
โบโด กลิมท์ เป็นทีมที่พัฒนาขึ้นมากในหลายปีหลัง พวกเขาได้แชมป์ลีกนอร์เวย์ 2 ปีติด และฤดูกาลก่อนที่เล่นในถ้วยเล็กสุด ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ก็เคยสร้างผลงานมาสเตอร์พีซถล่ม โรม่า ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ขาดลอย 6-1 มาแล้ว
สไตล์ของ โบโด กลิมท์ คล้าย อาร์เซน่อล ตรงที่เน้นการครองบอล และเซตเกมขึ้นจากแดนหลัง ผู้เล่นเกมรุกมีความคล่องแคล่ว เรียกได้ว่าระบบแบบแผนการเล่นชัดเจนทีเดียว
แต่ด้วยคุณภาพโดยรวมที่เป็นรอง บวกกับฟอร์มช่วงหลังที่ อาร์เซน่อล ดีกว่าพอสมควร ทำให้ตลอดครึ่งแรกแทบจะเป็นการพับสนามบุกฝ่ายเดียวของปืนใหญ่
11 ตัวจริงเป็นชุดเดียวกับนัดแรก
อาร์เซน่อล คอนโทรลการเล่นในแดนของ โบโด กลิมท์ ได้ต่อเนื่อง และหาโอกาสยิง 12 ครั้ง ก่อนได้ 2 ประตูในช่วงกลางครึ่งแรก
เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ทำประตูได้อีกนัดในยูโรปา ลีก แต่ต้องให้เครดิต คีแรน เทียร์นีย์ เช่นกันเพราะเป็นคนยิงไกลเต็มข้อชนเสาเข้าทาง เอ็นเคเทียห์ ที่ปฏิกิริยาดีมากตั้งเท้าแปบอลซ้ำเข้าไป
ส่วนประตูที่สองถือว่าเป็นลูกเก่งของทีมในสองฤดูกาลหลังกับการเล่นลูกเตะมุมที่จังหวะแรกโดนเคลียร์ออกมา แต่ ฟาบิโอ วิเอร่า เก็บได้ก่อนโยกแล้วเปิดเข้าหัว ร็อบ โฮลดิ้ง โขกเข้าไปสวยงาม
โบโด กลิมท์ พยายามต่อบอลจากแนวรับที่ตัวเองถนัด แต่ก็โดนแนวรุก อาร์เซน่อล ไล่บีบทุกจุด ทางเลือกในการจ่ายบอลจึงมีน้อย พอเปลี่ยนเป็นโยนยาวก็เสร็จ ร็อบ โฮลดิ้ง และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ ที่ชิงขึ้นโหม่งตัดได้ก่อนเกือบทุกครั้ง
แม้โอกาสลุ้นทำประตูครึ่งแรกน้อยกว่าถึง 10 ครั้งในครึ่งแรก แต่ โบโด กลิมท์ ยังไม่เปลี่ยนสไตล์การเล่นของตัวเองและเริ่มดีขึ้นในครึ่งหลัง
15 นาทีแรกที่หากไม่นับจังหวะลุยของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ก่อนเปิดให้ กรานิต ชาก้า ยิงด้วยขวาติดเซฟ การเล่นของ อาร์เซน่อล ดร็อปลงไปชัดเจน และเป็นทางฝั่งทีมเยือนจากนอร์เวย์ที่มีโอกาสลุ้น 2-3 ครั้งและหนึ่งในนั้นทำให้ แมตต์ เทอร์เนอร์ ต้องออกแรงเซฟจริงจังครั้งแรก
อาร์เตต้า ยอมรับว่าการที่ทีมเปลี่ยนถึง 8 ตำแหน่ง และผู้เล่นบางคนไม่ได้ลงสนามมากนัก ทำให้การเล่นไม่ได้ลื่นไหลเท่าที่ควร หลายจังหวะขาดความต่อเนื่องในการเล่นร่วมกัน ไม่ได้มีชอตต่อบอล 10-15 ครั้งและจบด้วยการยิง
วิเอร่า กับ โฮลดิ้ง ประสานงานกันในประตู 2-0
จากเกมที่น่าจะคอนโทรลสถานการณ์เอาไว้ได้ด้วยประตูนำสองลูกในครึ่งแรกและเล่นในบ้านตัวเอง กลายเป็นเปิดโอกาสให้คู่แข่งเริ่มมีความหวัง
อาร์เตต้า จึงเปลี่ยนตัวหลัก 3 คน โอเดการ์ด, ซาก้า และ เชซุส ลงพร้อมกันตั้งแต่ยังไม่ครบหนึ่งชั่วโมงแรกของเกมซึ่งถือว่าเปลี่ยนเร็วมาก และเปลี่ยนเพื่อหวังผลชัดเจน ไม่ใช่ฆ่าเวลาหรือปิดเกม
มาร์ติเนลลี่ และ ชาก้า ได้ออกไปพักหลังลุยหนักมาตั้งแต่เกมกับไก่เดือยทอง ส่วนอีกคนที่ถูกถอดคือ มาร์กินญอส ซึ่งผลงานในเกมนี้ไม่ดีนัก
มาร์กินญอส เล่นได้เด่นในนัดแรกกับ ซูริค ที่ยิง 1 จ่าย 1 เพื่อนฝากบอลให้ได้ไม่ทำเสียทั้งที่เป็นการลงสนามนัดแรกในสีเสื้อปืนใหญ่
แต่นัดนี้ที่น่าจะทำได้ดีขึ้น กลับค่อนข้างเงียบ ทำบอลเสียบ่อยครั้ง จังหวะขาดๆ เกินๆ ไปหมด จึงไม่น่าแปลกใจที่ถูกเปลี่ยนออกเร็ว
ในแง่จิตวิทยา การเปลี่ยนตัวจริงลงพร้อมกันแบบนี้เหมือนเป็นการ "ขู่" คู่แข่งไปในตัวซึ่งทั้งสามตัวสำรองก็ช่วยให้โมเมนตัมของทีมกลับมาอีกครั้งเพราะช่วยไล่บอลบีบให้การเซตเกมของ โบโด กลิมท์ เริ่มติดขัด ไปไม่ถึงแดนสุดท้าย
กาเบรียล เชซุส ยังคงเล่นด้วยความขยันและลุยเต็มที่เหมือนเกมลีก ความสามารถเฉพาะตัวและความมั่นใจในจังหวะเลี้ยงแหวกพื้นที่แคบริมเส้นก่อนเปิดให้ ฟาบิโอ วิเอร่า ยิงปิดท้าย ทำได้สุดยอดจริงๆ
ส่วน วิเอร่า ก็มีเกมที่ดีมากๆ เช่นกันด้วยผลงานจับต้องได้ 1 ประตูและ 1 แอสซิสต์ บทบาทในเกมรุกมีมากขึ้น และดูอันตรายทีเดียวเวลาได้บอลแถวเขตโทษ
มีจุดที่ต้องปรับอย่างที่ อาร์เตต้า ว่าเอาไว้คือการช่วยเกมรับที่ดูจะไม่เข้าใจเกมมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้เพราะนี่ไม่ใช่จุดแข็งของเจ้าตัว และเพิ่งฟิตกลับมาลงสนามได้ไม่นาน นัดนี้เพิ่งเป็นนัดที่ 3 ที่ได้ลงตัวจริงเท่านั้น
อีกคนในเกมรุกที่ทำได้โอเคคือ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่นอกจากประตูเบิกร่องแล้ว การเล่นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนเดิม กล้าเล่น กล้าลุย และเก็บบอลในแดนหน้าได้
พร้อมแล้วสำหรับการเจอ ลิเวอร์พูล
เหลือเพียงการจบสกอร์ที่ต้องปรับอีกนิดให้เด็ดขาดกว่านี้ ท้ายเกมที่ โอเดการ์ด ไหลให้ยิงเน้นๆ ทำได้น่าผิดหวังมากที่ซัดหลุดเป้าไปเยอะ
ส่วนในแนวรับมีช่วงต้นครึ่งหลังที่เปิดพื้นที่ให้ โบโด กลิมท์ ได้ต่อบอลเข้าไปพื้นที่อันตรายบ่อยครั้ง แต่ในภาพรวมไม่ได้ผิดพลาดมากนัก ร็อบ โฮลดิ้ง มีหนึ่งประตูสำคัญ กาเบรียล มากัลเญส ก็ช่วยทีมได้หลายจังหวะ ส่วน เทียร์นีย์ น่าจะมีหนึ่งประตูเช่นกันกับลูกยิงชนเสาก่อนเป็น เอ็นเคเทียห์ ซ้ำได้
แต่คนที่เด่นสุดในเกมรับคือ โทมิยาสึ ที่ออกสตาร์ทด้วยตำแหน่งแบ็กขวา ก่อนถูกโยกมาเล่นแบ็กซ้ายในช่วง 20 นาทีสุดท้ายหลัง คีแรน เทียร์นีย์ ถูกถอดออก
โทมิยาสึ เล่นได้แข็งแกร่งเช่นเคย การยืนตำแหน่งดีเยี่ยม คอยหาจังหวะเติมไปช่วย มาร์กินญอส ตลอด และแทบไม่มีชอตผิดพลาดเลยตลอดทั้งเกม แม้ฤดูกาลนี้เป็นสำรองในลีก แต่ก็เป็นอีกคนสำคัญที่ช่วยทีมได้ตลอดในเวลาที่ต้องการ
อาร์เซน่อล จึงปิดเกมด้วยชัยชนะที่ต้องการ เป็นผลลัพธ์ที่สำคัญมากเพราะทำให้แซงขึ้นนำจ่าฝูงของกลุ่ม แถมมีเกมตุนในมืออีกนัด
มีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้เพราะเปลี่ยนทีมเกือบยกชุด และคู่แข่งก็พยายามสู้ตลอด ไม่ได้ถอดใจ
มิเกล อาร์เตต้า พาทีมผ่าน 10 นัดแรกของฤดูกาลนี้ได้ดีงามอย่างยิ่งด้วยการชนะถึง 9 นัด เป็นผลงานดีสุดเทียบเท่าสถิติสโมสรในฤดูกาล 1903/04 และ 2007/08
คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเจอศึกหนักรับมือ "ลิเวอร์พูล" ในวันอาทิตย์นี้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT