ซามูไรหักปีกอินทรีเหล็ก
นี่ไม่ใช่เกมพลิกล็อกสุดเหลือเชื่อแบบที่ ซาอุดิอาระเบีย ช็อกโลกเอาชนะ อาร์เจนตินา แต่เป็นเกมที่เต็มไปด้วยคุณภาพและการแก้เกมที่สุดยอดของทัพซามู"ร
เยอรมัน ในฐานะหนึ่งในเต็งแชมป์เลือกใช้ โธมัส มุลเลอร์ เล่นหน้าต่ำอยู่ข้างหลัง ไค ฮาแวร์ตซ์ โดยมี จามาล มูเซียล่า กับ แซร์ช นาบรี้ ขึ้นด้านข้าง
การเล่นเกมรุกของทัพอินทรีเหล็กค่อนข้างยืดหยุ่น ฮาแวร์ตซ์ กับ มุลเลอร์ สลับตำแหน่งกันตลอด เช่นเดียวกับ มูเซียล่า ที่ตัดเข้าในเปิดพื้นที่ด้านซ้ายให้ ดาวิด เราม์ ได้เติมเกมรุกอย่างต่อเนื่อง
เยอรมัน จึงมีผู้เล่นเกมรุกมากถึง 5 คนในเวลาดวลกับแผงแนวรุก 4 คนของญี่ปุ่น ขณะที่ โยชัว คิมมิช กับ อิลคาย กุนโดกัน ช่วยกันคอนโทรลแดนกลางคอยกระจายบอลจากหน้าเขตโทษ
เกมในครึ่งแรกแทบวันเวย์ฝ่ายเดียว เยอรมันได้ครองบอลมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแท็กติกของญี่ปุ่นที่ต้องเน้นรับด้วย
กุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสึ เลือกใช้คู่เซนเตอร์ที่เล่นในเยอรมันอย่าง มายะ โยชิดะ กับ โก อิตากุระ ออกสตาร์ทคู่กัน ขณะที่ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ จาก อาร์เซน่อล เพิ่งหายเจ็บกลับมาจึงเป็นเพียงสำรอง แบ็กสองข้างเน้นความเก๋า ฮิโรกิ ซากาอิ กับ ยูโตะ นากาโตโมะ
เกมรับของญี่ปุ่นไม่ได้เล่นแย่แม้โดนพับสนามบุกตลอดครึ่งแรก พวกเขาทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่เป็นฝั่งเยอรมันทำได้ดีกว่ากับการเล่นที่สามารถคอนโทรลเกมรุกเข้าใส่ต่อเนื่อง
เยอรมันขึ้นนำก่อนตามรูปเกมที่บุกได้น้ำได้เนื้อ ชูอิจิ กอนดะ นายทวารญี่ปุ่นทำพลาดเสียฟาวล์ในเขตโทษ อิลคาย กุนโดกัน รับหน้าที่สังหารไม่พลาด
ทว่าด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าและโอกาสลุ้นประตูเกินสิบครั้ง สิ่งที่เยอรมันพลาดไปคือไม่สามารถยิงให้ได้มากกว่าหนึ่งประตู ตรงนี้ทำให้ญี่ปุ่นไม่ถอดใจและเชื่อว่ามีโอกาสในครึ่งหลัง
โมริยาสึ มองเห็นจุดต้องปรับทันทีในเกมรับ แบ็กโฟร์ของทีมงานหนักเกินไปในการรับมือเกมรุกของเยอรมัน เขาจึงเลือกส่ง โทมิยาสึ ลงไปช่วยอีกคนและถอนตัวรุก ทาเคฟุสะ คุโบะ ออก
ญี่ปุ่นยังเป็นฝ่ายรับเหมือนเดิม แต่การเข้าคู่ประกบตัวผู้เล่นเกมรุกเยอรมันไม่เสียเปรียบ เยอรมัน จึงปรับแท็กติกให้ผู้เล่นเกมรับเติมรุกมากขึ้น นั่นทำให้พื้นที่ข้างหลังเริ่มมีช่อง ญี่ปุ่น จึงได้ขยับการเซตบอลเข้าไปในแดนเยอรมันมากกว่าครึ่งแรก
เยอรมันขึงเกมรุกแบบต่อเนื่องเหมือนครึ่งแรกไม่ได้เพราะโดนเกมรับญี่ปุ่นตัดบอลบ่อยขึ้น โมริยาสึ เดิมพันกับตัวสำรองอีกครั้งส่งผู้เล่นเกมรุกที่มีความฟิตและคล่องตัวสูงอย่าง ทาคุมะ อาซาโนะ และ คาโอรุ มิโตมะ ลงสนาม
ทัพซามูโรมองเห็นโอกาสในการเล่นโต้กลับมากขึ้นโดยเฉพาะการเจาะด้านข้างเพราะแท็กติกเดิมบอลไปถึงหน้าเป้า ไดเซน มาเอดะ น้อยครั้งมากแถมเจองานยากในการเอาชนะคู่เซนเตอร์เยอรมัน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กับ นิโก้ ชล็อตเทอร์เบ็ค ที่สูงใหญ่กว่ามาก
มิโตมะ จาก ไบรท์ตัน ลงไปเล่นแทน นากาโตะโมะ โดยยืนเหมือนวิงแบ็กฝั่งซ้าย ส่วน อาซาโนะ ส่ายไปทั่วทั้งตรงกลางและด้านขวา
อีกจุดเปลี่ยนสำคัญคือก่อนเข้าสู่ยี่สิบนาทีสุดท้ายที่เยอรมันพลาดได้ประตูที่สองจากโอกาสลุ้นยิง 4 ครั้งติด ทว่าติดเซฟ ชูอิจิ กอนดะ ทั้งหมด จังหวะนี้แนวรับญี่ปุ่นชะงักไปแล้ว มีเพียง กอนดะ คนเดียวที่สมาธิจดจ่อและเซฟลืมตายช่วยทีม
นี่คือโอกาสทองที่อินทรีเหล็กทำไม่ได้ แถมก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็ถอด อิลคาย กุนโดกัน ออกไปซึ่งทำให้การเคลื่อนบอลแดนกลางไม่มีเหมือนเดิม ตรงกันข้ามกับ วาตารุ เอ็นโดะ ที่เด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในการวิ่งไล่ตัดบอล
พอรอดพ้นจากการเสียประตูที่สอง โมริยาสึ จึงทิ้งไพ่เด็ดครั้งสุดท้ายส่งอีกสองตัวรุก ทาคุมิ มินามิโนะ และ ริตสึ โดอัน ลงแทนสองผู้เล่นเกมรับทั้งแบ็กขวา ฮิโรกิ ซากาอิ และกลางรับ อาโอะ ทานากะ
เป็นการเปิดหน้าสู้กับทีมระดับโลกอย่างเยอรมันแบบไม่ตั้งการ์ดใดๆ แล้ว เหมือนมวยที่รอดพ้นการโดนน็อคได้จนถึงยกสุดท้าย และเลือกที่จะเดินเข้าหาบ้าง
กลุ่มสำรองโดยเฉพาะ 4 ตัวรุกที่ลงมามีความฟิต ความขยัน และความกระหายสุดๆ พวกเขาวิ่งไล่บอลทุกจังหวะ ตีรถเปล่าบ้าง แย่งได้บ้าง แต่ไม่ถอดใจและยังคงลุยไม่ยั้ง สุดท้ายก็ได้รางวัลตอบแทน
โดอัน ซัดตีเสมอ 1-1
ประตูตีเสมอมาจากการประสานงานของตัวสำรองทั้งหมด มิโตมะ แทงบอลทะลุเข้าเขตโทษให้ มินามิโนะ ตามไปตวัดเข้ากลาง มานูเอล นอยเออร์ ปัดทิ้งแต่กลายเข้าทาง โดอัน ซ้ำจังหวะเดียวไม่พลาด
เจอเข้าไปช็อตนี้ เยอรมัน ออกอาการเต้นทันที ฮันซี่ ฟลิค ถอด ฮาแวร์ตซ์ และส่งกองหน้าธรรมชาติอย่าง นิคลาส ฟึลล์ครุก ลง ขณะที่ มูเซียล่า โดนถอดเช่นกันโดยมี มาริโอ เกิทเซ่ ฮีโร่จากนัดชิงฯ 8 ปีก่อนลงแทน
ญี่ปุ่นคึกกว่าชัดเจน พวกเขาเป็นฝ่ายทำประตูที่แฟนบอลทั่วโลกอยากเห็นกับการขึ้นนำเยอรมันได้สำเร็จ
ประตูตัดสินเกมต้องให้ชม ทาคุมะ อาซาโนะ มากๆ ทำได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติทั้งการรับบอลโด่งอย่างนิ่มนวล บังเหลี่ยมวิ่งไม่ให้ นิโก้ ชล็อตเทอร์เบ็ค ขวางได้ ก่อนยิงจากมุมแคบที่แทบไม่เหลือรูให้ยิงแล้ว แต่ก็ซัดแสกหน้า นอยเออร์ เข้าไปจนได้
ตัวสำรองของทั้งสองทีมแตกต่างกันชัดเจน ในขณะที่ญี่ปุ่นพลิกสถานการณ์และได้สองประตูจากตัวสำรอง แต่ของฝั่งอินทรีเหล็กกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ช่วงท้าย ญี่ปุ่นกลับไปใช้แท็กติกแรกตั้งรับเต็มตัวเพื่อรักษาสกอร์นำให้ได้ เยอรมัน จะบุกแบบลืมตายก็ทำไม่ได้นอกจากความกดดันที่เทมาอยู่ฝั่งตัวเองแล้ว ก็ต้องระวังจังหวะสวนกลับด้วย ช่วง 15-20 นาทีสุดท้ายเห็นชัดเลยว่าความฟิตเป็นรองแข้งญี่ปุ่น
เสียงนกหวีดยาวส่งท้ายมาพร้อมกับการฉลองอย่างสุดเหวี่ยงของทีมชาติญี่ปุ่นที่ตัวจริงและตัวสำรองวิ่งกอดกันพัลวัน พวกเขาทำสำเร็จ ทำในสิ่งที่หลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้กับการโค่นแชมป์โลก 4 สมัย
เป็นชัยชนะที่ทำให้เราได้ถึงคุณภาพของฟุตบอลญี่ปุ่นอีกครั้ง เป็นคุณภาพที่มาจากการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฟุตบอลโลกมาตลอดนับตั้งแต่เล่นรอบสุดท้ายครั้งแรกในปี 1998
มุมแทบไม่เหลือ แต่ อาซาโนะ ซัดได้
มันไม่ใช่ชัยชนะที่พลิกล็อกจนหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เป็นดอกผลที่มาจากการทำงานอย่างหนักหลายปี ผลักดันผู้เล่นไปค้าแข้งในยุโรปเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และช่วยให้ทีมชาติต่อกรกับเบอร์ต้นๆ ของโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี
19 จาก 26 คนของผู้เล่นชุดนี้ต่างเล่นในยุโรป และมีถึง 8 คนที่เล่นในเยอรมันโดยที่ลงเล่นเกมนี้ 7 คน และแน่นอน 2 ประตูที่ทำได้ก็มาจากนักเตะที่เล่นในเยอรมัน
โมริยาสึ บอกว่าคุณภาพที่ได้จากการเล่นในยุโรปช่วยทีมได้อย่างมาก "พวกเขาบดขยี้ใส่เราอย่างหนักในช่วงท้าย หากเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะแพ้ไปแล้วแต่นักเตะของเราชุดนี้เล่นที่เยอรมนี และในยุโรป พวกเขาได้เรียนรู้อย่างมากมายจากเรื่องแบบนี้ มันทำให้เรารับมือได้"
คุณภาพฟุตบอลที่มาจากการทำงานหนักต่อเนื่อง ประสบการณ์ในเวทีใหญ่ ความมุ่งมั่นของนักเตะ วินัยในการเล่นตามแท็กติกของโค้ชที่อดทนรอโอกาสอย่างใจเย็น และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นคุณสมบัติชั้นยอดคือสิ่งที่ญี่ปุ่นแสดงออกมาให้เห็นตลอด 90 นาทีในสนาม
พวกเขาคู่ควรกับชัยชนะอย่างแท้จริง ขอคารวะให้กับผลงานของทัพซามูไรจากใจจริง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT