สิงโตมาตามนัด
แกเร็ธ เซาธ์เกต ปรับทัพ 4 ตำแหน่งหลังใช้ 11 ตัวจริงลงเล่นตลอด 2 นัดแรก โดย ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ฟิตสมบูรณ์อีกครั้งเสียบตำแหน่งแบ็กขวาแทน คีแรน ทริปเปียร์ ขณะที่แผงแนวรุกสลับให้ ฟิล โฟเด้น กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ขึ้นเกมรุกริมเส้นแทน บูคาโย่ ซาก้า และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้ลงตัวจริงแดนกลางเพื่อขยับ จู๊ด เบลลิงแฮม ขึ้นไปเล่นเกมรุกตรงกลางแทน เมสัน เมาน์ท ที่หลุดเป็นสำรองอีกราย
ทั้งสองทีมเจอกันในเวทีใหญ่ครั้งล่าสุดคือ ยูโร 2016 ที่อังกฤษแซงชนะช่วงทดเจ็บ 2-1 จากประตูของ เจมี่ วาร์ดี้ โดยที่แกนหลักเวลส์ชุดนั้นยังอยู่ในทีมชุดปัจจุบันหลายคนไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล , อารอน แรมซีย์ , โจ อัลเลน และ เบน เดวิส รวมถึง เวย์น เฮนเนสซีย์ ที่หากไม่ติดโทษแบนก็คงได้เฝ้าเสาเจออังกฤษอีกครั้ง
ขณะที่ อังกฤษ เปลี่ยนไปเยอะมาก แฮร์รี่ เคน เป็นคนเดียวที่เป็นตัวจริง 6 ปีก่อนและลงตัวจริงอีกครั้ง แถมตำแหน่งกุนซือก็เปลี่ยนจาก รอย ฮ็อดจ์สัน เป็น เซาธ์เกต
มาเจอกันอีกครั้งไม่ได้ออกมาสูสีใกล้เคียงเหมือนที่เคยเจอในศึกชิงแชมป์แห่งยุโรปเพราะเป็นอังกฤษที่เค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ในช่วงเวลาที่ต้องการ
ในครึ่งแรก เวลส์ เล่นเกมรับได้ดีทีเดียวตามแท็กติกที่ตั้งใจเน้นรับแน่นรอโต้กลับอยู่แล้วเพราะศักยภาพเป็นรอง ปล่อยให้อังกฤษเป็นฝ่ายครองเกมรุกเข้าใส่
การเปลี่ยนปีกสองข้างของอังกฤษในนัดนี้ยังไม่สามารถโจมตีเกมรับเวลส์ได้อย่างที่ควรจะเป็น เวลส์ ใช้ อารอน แรมซีย์ ถอยลงไปช่วยแบ็กขวา เบน เดวิส ในการดวลกับ โฟเด้น ขณะที่ฝั่งซ้ายก็มี โจ อัลเลน ขยับไปช่วย นีโก้ วิลเลียมส์ เพื่อรับมือกับ แรชฟอร์ด
แกเร็ธ เบล ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
จุดที่อังกฤษเคยทำได้ดีแต่ยังไม่ลงตัวนักในครึ่งแรกคือเวลาที่ แฮร์รี่ เคน ถ่างออกมาเล่นนอกเขตโทษเพื่อเปิดบอล ยังไม่มีเพื่อนร่วมทีมสอดเข้าไปในเขตโทษโดยอัตโนมัติเพื่อรอจบสกอร์ จังหวะสุดท้ายของทัพสิงโตจึงขาดไปนิดๆ หน่อยๆ
ทว่าจุดที่เป็นสัญญาไม่สู้ดีของทัพมังกรแดงคืออาการบาดเจ็บของ นีโก้ วิลเลี่ยมส์ แบ็กขวาที่ทำผลงานได้ดีสุดของทีมอีกคนในทัวร์นาเมนต์
อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล มีอาการคอนคัสชั่นหลังใช้หัวบล็อกลูกยิงหน้าเขตโทษของ แรชฟอร์ด แม้ฝืนเล่นต่อได้อีกหลายนาที แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวออกก่อนจบครึ่งแรก
คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ ที่ถูกส่งลงเล่นแทน มีประสบการณ์มากกว่า แต่เจอความคล่องของ แรชฟอร์ด ก็เอาไม่อยู่ในหลายจังหวะ แถมพอปรับตัวได้ก็เจอการสลับปีกของอังกฤษ
เซาธ์เกต ปรับเกมในช่วงพักครึ่งด้วยการให้ โฟเด้น สลับมาขึ้นเกมรุกฝั่งซ้าย และโยก แรชฟอร์ด ไปลุยฝั่งขวา ตรงนี้ทำให้เวลส์ไม่มีเวลาตั้งตัว และเข้าบอลพรวดจนเสียฟาวล์หน้าเขตโทษและเสียประตูทันทีจากฟรีคิกอันเฉียบขาดของ แรชฟอร์ด ที่ยิงได้ดีเหลือเกิน
เกมรับเวลส์ที่ทำได้ดีตอนแรก ระส่ำทันที และอีกไมถึงสองนาทีถัดมา อังกฤษ ใช้การบีบเร็วจนแย่งบอลได้ทางฝั่งขวา แฮร์รี่ เคน เปิดเข้าเขตโทษไปถึงเสาไกล โฟเด้น วิ่งมาแปง่ายๆ เข้าไป
2-0 หลังเริ่มครึ่งหลังได้ 7 นาที เซาธ์เกต บอกว่าสองประตูติดๆ กันนี้ทำให้ขวัญกำลังใจและสปิริตของเวลส์แตกกระเจิงไปเลย ทุกอย่างจึงเข้าทางอังกฤษในทันที
กุนซือทัพสิงโตคำรามมั่นใจถึงขนาดถอนตัวหลักอย่าง แฮร์รี่ เคน , ดีแคลน ไรซ์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ออกมาพักตั้งแต่ยังไม่ถึงนาทีที่ 60
เซาธ์เกต ปรับทัพได้ผลที่ส่ง แรชฟอร์ด ลงตัวจริง
การรีบถอนตัวหลักอาจดูเหมือนติดประมาทไปนิด แต่ก็ต้องยอมรับว่าคงเป็นไปได้ยากที่ เวลส์ จะมีฮึดเพราะคุณภาพในเกมรุกคือข้อแตกต่างชัดเจนเมื่อเทียบกับอังกฤษ
อังกฤษ เปลี่ยนหลายตำแหน่ง แต่กลุ่มสำรองที่ได้โอกาสก็ทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะ แรชฟอร์ด ที่พอโยกมาเล่นฝั่งขวาก็อันตรายมากขึ้นและบวกประตูที่สองของตัวเองให้ทีมนำห่าง 3-0
แต่แกนหลักของเวลส์ที่หลายปีที่ผ่านมาเคยพลิกสถานการณ์ให้ทีมได้อย่าง แกเร็ธ เบล และ อารอน แรมซีย์ ก็แทบถูกตัดออกไปเลย ไม่มีบทบาทใดๆ โดยรายของ เบล ถูกเปลี่ยนตัวหลังจบครึ่งแรกด้วยเพราะมีอาการบาดเจ็บ ส่วน แรมซีย์ ก็พ้นช่วงดีสุดไปนานแล้ว
เซาธ์เกต จึงได้พักตัวหลักบางรายก่อนเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ แม้แผนการเดิมควรจะได้พักตัวหลักมากกว่านี้หากปิดจ๊อบชนะสหรัฐฯ ได้ตั้งแต่นัดที่สอง
การปรับผู้เล่นและแก้เกมช่วงพักครึ่งทำให้ เซาธ์เกต ได้เห็นศักยภาพของลูกทีมมากขึ้นโดยเฉพาะตัวรุกที่จะเล่นร่วมกับ แฮร์รี่ เคน ซึ่งจะเป็นคนเดียวที่ยึดตัวจริงแน่นอน ที่เหลือได้แย่งตำแหน่งกันสนุก
แรชฟอร์ด กับ โฟเด้น ฉวยโอกาสทำผลงานได้ แต่ สเตอร์ลิ่ง ก็พร้อมทวงตัวจริงได้ตลอดเวลาเพราะเป็นผู้เล่นที่มักทำได้เวลาเล่นทีมชาติ แถมสถิติมีส่วนร่วมได้ประตูก็เป็นรองแค่ เคน คนเดียวเท่านั้น อีกคนที่ต้องไม่ลืมคือ บูคาโย่ ซาก้า ที่ยิงสองประตูนัดแรกและเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ด้วย
แม้บางอย่างผิดคาดเล็กน้อยกับการต้องลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย แต่อังกฤษก็ไม่ได้สะบักสะบอมมากนัก แถมได้เห็นคุณภาพในทีมมากขึ้น เพิ่มทางเลือกในการจัดทัพโดยเฉพาะในรอบน็อกเอาท์แบบนี้ที่งานหนักขึ้นทุกนัดแน่นอน
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อังกฤษ จะพบกับรองแชมป์กลุ่ม เอ อย่าง เซเนกัล ที่เข้าน็อกเอาต์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
คู่นี้ถูกมองว่ามีโอกาสเจอกันตั้งแต่ผลจับสลากออกมาแล้วซึ่งทั้งสองทีมก็มาตามนัดจิรงๆ แต่ที่ผิดคาดคือ เซเนกัล ไม่มี ซาดิโอ มาเน่ ตัวความหวังอันดับหนึ่งที่เจ็บจนต้องถอนตัวก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่ม
เหมือนจะเป็นงานที่ง่ายขึ้นกับการไม่มี มาเน่ แต่การที่ทีมแชมป์แอฟริกาทีมล่าสุดเอาตัวรอดเข้ารอบมาได้กับการไม่มีตัวเก่งในทีมก็แสดงให้เห็นว่าไม่ธรรมดา และหลายคนของชุดนี้ก็เล่นในอังกฤษ รู้จักคุ้นเคยกับนักเตะสิงโตคำรามเป็นอย่างดี
อังกฤษ ดวล เซนกัล ที่จะลงสนามในวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม จะเป็นอีกคู่ของรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่สนุกแน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT