เกร็ดน่าสนใจก่อนลุยรอบ 8 ทีมสุดท้าย
8 ทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์โลกในครั้งนี้ประกอบด้วย
เนเธอร์แลนด์ - อาร์เจนตินา
อังกฤษ - ฝรั่งเศส
โครเอเชีย - บราซิล
โปรตุเกส และ โมร็อกโก
ก่อนลงสนามรอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปเจาะข้อมูลเบื้องต้นและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของแต่ละทีมกันอีกรอบว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เนเธอร์แลนด์ , โครเอเชีย , โปรตุเกส และ โมร็อกโก เป็น 4 ทีมในรอบนี้ที่ไม่เคยคว้าแชมป์โลกมาก่อน
เนเธอร์แลนด์ เข้าชิงชนะเลิศมาแล้ว 3 ครั้งในปี 1974 , 1978 และ 2010 แต่อกหักได้ "รองแชมป์" ทั้งหมด โดยสองครั้งแรกที่ชิงฯ พ่ายต่อเจ้าภาพ เยอรมันตะวันตก และ อาร์เจนตินา ส่วนครั้งล่าสุดเมื่อ 12 ปีก่อน พ่ายต่อ สเปน ในช่วงต่อเวลา
ส่วน โครเอเชีย มีผลงานดีสุดคือ รองแชมป์เช่นกันและทำได้เมื่อ 4 ปีก่อนที่รัสเซียซึ่งเข้าชิงชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส ก่อนพ่ายต่อทัพตราไก่ 2-4
ทัพกังหันเป็นหนึ่งใน 4 ทีมที่ไม่เคยคว้าแชมป์โลกมาก่อน
ขณะที่ โปรตุเกส กับ โมร็อกโก ไม่เคยคว้าแชมป์มาก่อน โดยผลงานดีสุดของโปรตุเกสคือรอบตัดเชือกในปี 2006 ส่วน โมร็อกโก การเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในครั้งนี้ก็คือผลงานดีสุดตลอดกาลในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
อีก 4 ที่เหลือล้วนเคยเป็นแชมป์โลกมาแล้วทั้งสิ้น โดย บราซิล ได้แชมป์มากสุด 5 สมัย ในปี 1958, 1962, 1970, 1994 และครั้งล่าสุด 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้
อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ 2 สมัยเท่ากัน โดยทัพฟ้าขาวได้ในปี 1978 ที่เป็นเจ้าภาพ และปี 1986 ยุคของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ส่วนทางฝั่งตราไก่ได้แชมป์สมัยแรกในปี 1998 และกลับมาได้แชมป์อีกครั้งที่รัสเซียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ส่วน อังกฤษ เคยได้แชมป์โลกครั้งเดียวในปี 1966 หรือผ่านมาแล้ว 56 ปีด้วยกัน
เมื่อแยกเป็นโซนจะพบว่าเหลือตัวแทนจาก 3 ทวีปในรอบ 8 ทีมสุดท้ายคือ ยุโรป 5 ทีม อเมริกาใต้ 2 ทีม และแอฟริกาอีก 1 ทีม
เกมรับแข็งแกร่งช่วยให้ โมร็อกโก กลายเป็นม้ามืด
ถือว่าไม่ได้ผิดคาดมากนักที่รอบนี้เป็นทีมจากยุโรปกับอเมริกาใต้เกือบหมดเพราะมักเป็นสองภูมิภาคที่ทำผลงานได้ดีสุด โดยฟุตบอลโลก 21 ครั้งที่ผ่านมา ทีมแชมป์ก็วนอยู่สองทวีปนี้มาตลอด ยุโรปได้ไป 12 ครั้ง แบ่งให้อเมริกาใต้ 9 ครั้ง
สำหรับ อเมริกาใต้ หลายคนอาจลืมไปว่า นอกจาก บราซิล กับ อาร์เจนตินา ที่เคยเป็นแชมป์โลก อุรุกวัย ก็เคยสัมผัสแชมป์เช่นกันและทำได้ 2 ครั้งในยุคแรกๆ ของฟุตบอลโลกในปี 1930 และ 1950
ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี้ มีตัวแทนจากเกือบทุกกลุ่มในรอบแรกยกเว้น กลุ่ม อี ที่เป็น 'Group of Death' หรือกลุ่มแห่งความตาย ที่ประกอบด้วย สเปน, เยอรมัน, ญี่ปุ่น และคอสตาริกา ซึ่งไม่มีทีมใดหลุดเข้ารอบนี้ได้เลย
โควตาไปอยู่ที่กลุ่ม เอฟ ที่ทั้ง โครเอเชีย และ โมร็อกโก ฝ่าด่านมาถึงรอบนี้ได้ทั้งคู่ ขณะที่กลุ่มอื่นมีตัวแทนเข้ารอบนี้กลุ่มละทีมและเป็นทีมแชมป์กลุ่มทั้งหมด
เทียบอันดับในฟีฟ่าแรงกิ้ง บราซิล อันดับดีสุดเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในปัจจุบัน ตามด้วย อาร์เจนตินา และ ฝรั่งเศส ที่รั้งอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ ส่วน โมร็อกโก อันดับท้ายสุดที่ 22
ชิรูด์ & เอ็มบั๊ปเป้ พลังสังหารทัพตราไก่
ตลอด 4 นัดที่ผ่านมา โปรตุเกส กับ อังกฤษ ยิงประตูได้มากสุด 12 ประตูเท่ากัน ตามด้วยฝรั่งเศส 9 ประตูซึ่ง 8 จาก 9 ประตูของฝรั่งเศสมาจากการยิงของ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ 5 ประตู และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ 3 ประตู ส่วน โครเอเชีย ยิงได้น้อยสุดเพียง 5 ประตู
ในส่วนเกมรับถือว่าเซอร์ไพรส์อย่างยิ่งที่ โมร็อกโก เป็นทีมที่เสียน้อยสุดในบรรดา 8 ทีมสุดท้ายหลังโดนเจาะตาข่ายเพียงประตูเดียวและเป็นการสกัดเข้าประตูตัวเองในเกมพบ แคนาดา รอบแรก
นั่นแสดงว่ายังไม่โดนคู่แข่งยิงเลย เรียกได้ว่าเข้ารอบมาได้เพราะคุณภาพในเกมรับจริงๆ เจอทั้ง โครเอเชีย, เบลเยียม และ สเปน แต่ไม่เสียประตูแม้แต่ประตูเดียว
และทีมที่เสียมากสุดคือ โปรตุเกส คู่แข่งของ โมร็อกโก ที่มารอบนี้ได้ก็โดนเจาะรวม 5 ประตู
เต็งหนึ่งและแชมป์โลก 5 สมัยมาตามนัด
บททวนเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศกันอีกรอบ
ผู้ชนะระหว่าง โครเอเชีย กับ บราซิล จะพบผู้ชนะระหว่าง เนเธอร์แลนด์ กับ อาร์เจนตินา
ส่วนผู้ชนะระหว่าง โมร็อกโก กับ โปรตุเกส จะเข้าไปพบกับผู้ชนะระหว่าง อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส
เดี๋ยวมาตามลุ้นกันในวันเสาร์และอาทิตย์ว่า 4 ทีมสุดท้ายที่จะเข้าสู่รอบตัดเชือกเป็นทีมใดกันบ้าง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT