แชมป์โลกของทัพฟ้าขาวและ 'เมสซี่'
ตลอด 120 นาทีรวมไปถึงการดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย วันนี้เราจะมาเก็บตกประเด็นสำคัญและสถิติที่เกิดขึ้นกันอีกครั้ง
การจัดทัพของทั้งสองทีม
ฝรั่งเศส สามารถใช้งานผู้เล่นชุดใหญ่ได้เต็มที่หลังจากก่อนหน้านี้หลายวันมีไข้หวัดระบาดในแคมป์ฝึกซ้อม วาฟาแอล วาราน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, อิบราฮิม่า โกนาเต้ รวมไปถึง คิงส์เลย์ โกมัน ต่างฟิตทันลงสนามได้
นอกจากนี้ เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้าย และ ออเลเรียง ชูอาเมนี่ กองกลางก็หายเจ็บลงสนามได้เช่นกัน ทำให้ ดีดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ จัดทัพได้เหมือนเดิมในระบบ 4-3-3 ที่แต่ละตำแหน่งไม่ได้พลิกโผแต่อย่างใด โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่มีข่าวว่าอาจโดนดร็อปเป็นสำรอง ก็ยังลงตัวจริงตามปกติ
ส่วน อาร์เจนตินา ปรับตำแหน่งเดียวคือการเลือกให้ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกจอมเก๋าลงตัวจริงในแนวรุกร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ขณะที่แดนกลางกับแดนหลังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้ได้ มาร์กอส อคุนย่า กับ กอนซาโล่ มอนเทล พ้นโทษแบนกลับมา
การเดิมพันกับ ดิ มาเรีย ได้ผล
การส่ง อังเคล ดิ มาเรีย ในวัย 34 ปีลงสนามนับเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงไม่น้อยของกุนซือ ลิโอเนล สกาโลนี่ เพราะปีกจอมเก๋ารายนี้ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีนักและไม่ได้ลงตัวจริงเลยในรอบน็อกเอาต์
แถมอายุอานามที่ค่อนข้างเยอะทำให้แนวรุกอาร์เจนตินาดูจะเสียเปรียบเมื่อต้องเจอกองหลังฝรั่งเศสที่สดกว่าและหนุ่มแน่นกว่า นอกจาก ดิ มาเรีย แล้ว เมสซี่ เองก็อายุ 35 ปีแล้ว มีเพียง ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ รายเดียวที่อายุน้อย
ทว่าการเดิมพันกลับได้ผล ดิ มาเรีย เค้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้อีกครั้งและมีส่วนกับสองประตูทั้งเรียกจุดโทษประตูแรก และยิงประตู 2-0
นอกจากนี้ก็ป่วนเกมรับฝรั่งเศสได้หลายครั้ง เรียกได้ว่าสร้างประประโยชน์ได้อย่างมากทีเดียวก่อนถูกถอกออกไปในช่วงครึ่งหลัง
ทัพฟ้าขาวเหนือกว่าชัดเจนตลอดหนึ่งชั่วโมงแรก
อาร์เจนตินา ทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาดเพราะเปิดเกมรุกเข้าใส่ฝรั่งเศสได้มากกว่าและคุมเกมเหนือกว่าฝรั่งเศสแบบชัดเจนตลอดครึ่งแรก ต่างจากหลายนัดที่เจอทีมคุณภาพใกล้เคียงกันมักจะตั้งรับและรอสวนกลับ
เกมรับอาร์เจนตินาจัดการกับแนวรุกฝรั่งเศสได้อยู่หมัดตลอดครึ่งแรกรวมถึง 20 นาทีของครึ่งหลัง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ได้บอลปุ๊บก็มีผู้เล่นฟ้าขาวรุม 1-2 ตลอด เช่นเดียวกับ อองตวน กรีซมันน์
เมื่อสองคีย์แมนฝรั่งเศสแทบพลิกบอลไม่ได้ อีกสองแนวรุกอย่าง อุสมาน เดมเบเล่ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ก็ตัดออกจากเกมไปเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ ดีดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ เลือกถอดทั้ง เดมเบเล่ และ ชิรูด์ ตั้งแต่นาที 41 เพื่อส่ง ร็องดาล โคโล่ มูอานี่ และ มาร์คัส ตูราม ลงพลิกเกมแทน
ความมหัศจรรย์ใน 97 วินาทีของ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้
ฝรั่งเศส เหมือนจะพลิกสถานการณ์ไม่ได้เพราะผ่านไป 70 นาทีก็ยังแทบไม่มีโอกาสลุ้นประตูเลย โอกาสง้างครั้งแรกทำได้จาก คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ ในนาที 71 ที่ลากบอลมากดด้วยขวาหน้าเขตโทษข้ามคาน
แต่แล้วช่วงนาที 80 ก็เกิดจุดเปลี่ยนเมื่อ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ไปกระแทกใส่ โคโล่ มูอานี่ ตัวสำรองล้มในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้จุดโทษให้ คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ รับหน้าที่สังหารไม่พลาดไล่มาเป็น 1-2
จากนั้นอีกเพียง 97 วินาที ฝรั่งเศส ที่่มีตัวรุกสดกว่าก็เริ่มแผลงฤทธิ์ โกมัน แย่งบอลได้จาก เมสซี่ ก่อนจ่ายต่อให้ เอ็มบั๊ปเป้ ชิ่งกับ ตูราม ก่อนเป็น เอ็มบั๊ปเป้ ได้ล้มวอลเลย์ด้วยขวาเข้าไปอย่างสุดยอด
ฝรั่งเศสที่เหมือนหมดลุ้นไปแล้วจึงตามตีเสมอได้เหลือเชื่อ ทำให้ต้องไปลุ้นถึงช่วงต่อเวลาอีก 30 นาที
เหมือนฟ้าลิขิตให้ ลิโอเนล เมสซี่ เป็นแชมป์
ในช่วงต่อเวลา อาร์เจนตินา นำอีกครั้งเป็น 3-2 เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ได้จังหวะยิงยัดเสาแรกไปติดเซฟ อูโก้ โยริส ที่ปัดบอลเข้าทางปืนของ เมสซี่ ตามซ้ำจ่อๆ ส่งบอลข้ามเส้นไปเรียบร้อย แม้จะถูกแนวรับ ฝรั่งเศส สกัดทิ้งออกมา
แม้ฝรั่งเศสจะตามตีเสมอได้อีกครั้งจากจุดโทษของ เอ็มบั๊ปเป้ ที่ยิงประตูที่ 8 ของตัวเองในทัวร์นาเมนต์จนทำให้การตัดสินแชมป์ต้องไปวัดที่จุดโทษ แต่สุดท้ายทัพฟ้าขาวก็เป็นฝ่ายเอาชนะไปจนได้หลังยิงตลอด 4 คนแรก ต่างจากฝรั่งเศสที่พลาดไป 2 คน
การคว้าแชมป์ได้สำเร็จของ อาร์เจนตินา ทำให้หลายคนเริ่มเชื่อว่าอาจเป็นสิ่งที่เบื้องต้นกำหนดเอาไว้แล้วกับการให้ เมสซี่ คว้าแชมป์โลกครัง้แรกเพราะมีหลายเหตุการณ์ที่เหมือนจะไม่เข้าทางทัพฟ้าว แต่สุดท้ายก็กลับได้
อาร์เจนตินา เริ่มต้นด้วยการพลิกล็อกพ่ายต่อ ซาอุดิอาระเบีย อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ยังฮึดเข้ารอบได้ ส่วนรอบ 16 ทีมก็มีหืดจับช่วงท้ายก่อนเอาชนะ ออสเตรเลีย 2-1 เช่นเดียวกับที่ต้องลุ้นถึงดวลจุดโทษในรอบ 8 ทีมก่อนผ่าน เนเธอร์แลนด์ มีเพียงรอบตัดเชือกที่ไล่ยิงขาดชนะ โครเอเชีย 3-0
มันอาจเป็นฟุตบอลโลกที่ทำให้ เมสซี่ ได้เป็นแชมป์โลกจริงๆ เพราะคนที่เชื่อแบบนั้นก็คือ เมสซี่ เองที่หลังจบเกมเขาบอกว่านี่คือแชมป์ที่พระเจ้าเบื้องบนทรงประทานให้กับตนเอง เขารู้สึกมาโดยตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
นอกจากการคว้าแชมป์โลกสมัยแรกได้สำเร็จและทำให้ชีวิตค้าแข้งของ เมสซี่ ถูกเล่าขานได้เฉกเช่นตำนานของชาติอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า แล้ว ยังเป็นฟุตบอลโลกที่ เมสซี่ ทำสถิติต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
เมสซี่ ทำสถิติลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากสุดตลอดกาลที่ 26 นัด ทำลายสถิติเดิมของ โลธาร์ มัทเธอุส ได้สำเร็จ และเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงประตูได้ทุกรอบไม่ว่าจะเป็นรอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบก่อนรองชนะเลิศ, รอบตัดเชือก และรอบชิงชนะเลิศ
เขามีส่วนร่วมได้ประตูมากสุดตลอดกาลที่ 21 ประตู (13 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์) ก่อนหน้านี้ครองสถิติ 19 ประตูร่วมกับ แกร์ด มุลเลอร์, โรนัลโด้ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่
ดาวเตะวัย 35 ปี ยังเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัล "โกลเด้นบอล" หรือ ผู้เล่นยอดเยี่ยมฟุตบอลโลกไปครองถึงสองครั้งหลังเคยได้มาแล้วในปี 2014 ที่ตอนนั้นทัพฟ้าขาวเป็นเพียงรองแชมป์
นัดชิงชนะเลิศที่ดีที่สุดตลอดกาล
แฟนบอลทั่วไปที่ไม่ได้เชียร์สองทีมคู่ชิงชนะเลิศ หรือแม้แต่ผู้ปราชัยอย่างฝรั่งเศสต่างยอมรับตรงกันว่านี่คือนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่สนุก เร้าใจ และดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เป็นนัดชิงฯ ที่เอนเตอร์เทนแฟนบอลสุดๆ เกมพลิกไปพลิกมาจากที่ตอนแรกเหมือนว่าจะจบไปแล้วกับการนำ 2-0 ของอาร์เจนตินาที่รูปเกมดีกว่า แต่ฝรั่งเศสก็ไม่ถอดใจตามตีเสมอได้ และก็เป็นแบบเดียวกันในช่วงต่อเวลาที่ทัพฟ้าขาวนำก่อนและตราไก่ตามตีเสมอ
สองผู้เล่นที่ถูกจับตามองมากที่สุดว่าจะเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ และ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ก็แย่งกันทำผลงาน เมสซี่ ยิง 2 ประตูและทุบสถิติต่างๆ มากมาย ขณะที่ เอ็มบั๊ปเป้ ก็ระเบิดแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศซึ่งเป็นคนแรกในรอบ 56 ปีที่ทำได้
เป็นนัดชิงชนะเลิศที่สมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริงสำหรับสองทีมที่ถูกมองตั้งแต่ก่อนเกมว่าสูสีที่สุดในรอบหลายสิบปี และก็ออกเป็นแบบนั้นจริงๆ
นั่นทำให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศกลายเป็นความทรงจำที่สุดยอดสำหรับแฟนบอลโดยเฉพาะสาวกฟ้าขาวที่ได้ฉลองแชมป์โลกอีกครั้งหลังรอคอยมานาน 36 ปี
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT