ความท้าทายที่มากขึ้น
อาร์เซน่อล กลับมาเล่นในบ้านแต่ได้เพียงเสมอ เบรนท์ฟอร์ด หลังก่อนหน้านี้เพิ่งสะดุดพ่ายต่อ เอฟเวอร์ตัน ในยุคกุนซือใหม่ ฌอน ไดช์
ในการเจอนัดแรก อาร์เซน่อล บุกชนะ เบรนท์ฟอร์ด ได้ง่ายดาย 3-0 ในเกมที่ช่วงท้ายทำสถิติพรีเมียร์ลีกด้วยการส่งเจ้าหนู อีธาน เอ็นวาเนรี่ ลงประเดิมสนามด้วยวัยเพียง 15 ปี
แต่นัดสองที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต่างออกไป เบรนท์ฟอร์ด เตรียมตัวมาดีมาก เช่นเดียวกับฟอร์มช่วงหลังที่ไม่แพ้ในลีก 9 นัดติด ยาวนานสุดอันดับสองในลีกเป็นรองเพียง นิวคาสเซิ่ล
โธมัส แฟร้งค์ ปรับทีมเล่นระบบวิงแบ็กเพื่ออัดเซนเตอร์เพิ่มเป็นสามคนเหมือนในหลายครั้งที่เจอทีมใหญ่ทั้งเกมกับ แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล รวมถึงวันที่ไล่ยำ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 ช่วงต้นฤดูกาล
ขณะที่ มิเกล อาร์เตต้า เลือกใช้ผู้เล่นชุดเดิมจากนัดล่าสุด ตัวใหม่อย่าง เลอันโดร ทรอสซาร์ ยังเป็นเพียงสำรอง
ปืนใหญ่เป็นฝ่ายครองเกมรุกเข้าใส่เหมือนเกมกับ เอฟเวอร์ตัน แต่บอลแทบจะไม่ผ่านไลน์เกมรับของ เบรนท์ฟอร์ด ที่ยืนซ้อนกันหลายชั้น ปิดทุกพื้นที่เต็มซอกไม่มีช่องว่าง
ตรงกลางสามคนคอยชนชั้นแรก พอผ่านได้ก็มีสามเซนเตอร์อีกชั้น ส่วนด้านข้างมี ไอแวน โทนีย์ และ ไบรอัน เอ็มเบวโม่ แยกย้ายกันไปช่วยวิงแบ็กคนละฝั่ง
แท็กติกของ เบรนท์ฟอร์ด คล้ายกับ เอฟเวอร์ตัน ที่รับแน่น และใช้จังหวะโจมตีไม่กี่จังหวะ แต่ต่างกันที่ เบรนท์ฟอร์ด มีการต่อบอลด้านข้างสลับโยนยาว และใช้การเล่นร่วมกันของคู่กองหน้า โทนี่ และ เอ็มเบวโม่
เบรนท์ฟอร์ด ไม่ได้ใช้กองกลางเข้าบี้หนักแบบ เอฟเวอร์ตัน โธมัส ปาร์เตย์, กรานิต ชาคา และ มาร์ติน โอเดการ์ด จึงมีจังหวะต่อบอลและถ่ายบอลทำเกม เพียงแต่หาช่องแทงเข้าทำไม่ได้
ทรอสซาร์ มีประตูแรก แต่ทีมไม่ชนะ
อาร์เซน่อล ได้ครองบอล 70 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งแรก แต่โอกาสยิงใกล้เคียงกัน 7 ต่อ 6 และเป็นทีมเยือนที่ได้ลุ้นจะแจ้งมากกว่าด้วยซ้ำ
จังหวะแรกเกิดขึ้นต้นเกม ไอแวน โทนีย์ ฉีกออกด้านขวาก่อนเปิดเข้าเขตโทษให้ ริโก้ เฮนรี่ สอดเข้าไปยิงจ่อๆ แต่ว่าโดนไม่ดี บอลหลุดเป้าเหลือเชื่อ
เจ้าถิ่นรอดตัวอีกครั้งในครึ่งทางของครึ่งแรกที่ โทนี่ กับ เอ็มเบวโม่ ประสานงานกันยอดเยี่ยมก่อนจบที่ โทนี่ แปเน้นๆ ทว่าบอลชนคานอย่างจัง
เป็นสองจังหวะที่ทัพผึ้งน้อยน่าจะได้ประตูอย่างยิ่ง
ส่วนโอกาสชัดเจนสุดของปืนใหญ่ต้องรอจนเกือบจบครึ่งแรกที่ เบน ไวท์ เปิดจากด้านข้างไปถึง กรานิต ชาคา โหม่งย้อนให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ วอลเลย์ด้วยซ้ายข้ามคาน
แฟร้งค์ พอใจมากกว่า อาร์เตต้า แน่นอนหลังจบครึ่งแรกที่สกอร์ 0-0 ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และน่าจะเสียดายมากกว่าด้วยซ้ำกับโอกาสทองสองครั้งที่ไม่ได้ประตู
ในครึ่งหลังยังเป็นไปเหมือนเดิม อาร์เซน่อล ลุยเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และฉวยโอกาสนำได้ก่อนจากตัวสำรอง เลอันโดร ทรอสซาร์ ที่ซัดประตูแรกในสีเสื้อปืนใหญ่หลังลงสนามไปได้ 4 นาที
นี่คือจังหวะเดียวที่เกมรับทีมเยือนพลาดทั้งปล่อยให้ ซาก้า ได้เปิดจากฝั่งขวา และปล่อยให้ ทรอสซาร์ ยืนรอบอลเสาไกลแบบไร้คนประกบ
แต่หลังจากได้ประตูนำ เกมรุกของ อาร์เซน่อล กลับถอนคันเร่งลงอย่างชัดเจน ไม่โหมแบบสุดตัวเหมือนเดิม เปิดโอกาสให้ เบรนท์ฟอร์ด ได้ต่อบอลขยับเกมรุกสู้มากขึ้น
ประตูตีเสมอไม่มีการตีเส้นเช็คล้ำหน้า
สุดท้ายก็ตามตีเสมอจนได้ในรูปแบบที่ช่ำช่องอยู่แล้วกับการเล่นลูกตั้งเตะ
อาร์เซน่อล เป็นรองชัดเจนในการดวลลูกโด่งกับ เบรนท์ฟอร์ด ที่จังหวะบิวด์อัพไปสู่การได้ประตู อีธาน พินน็อค เทคตัวลอยสูงอยู่คนเดียวก่อนโหม่งเช็ดให้ คริสเตียน นอร์การ์ด ตวัดต่ออีกทีไปถึง โทนีย์
ลูกนี้มีการเช็กวีเออาร์ว่าล้ำหน้าหรือไม่ แต่ทีมงานวีเออาร์กลับไม่ได้ตีเส้นทั้งจังหวะแรกที่ ไอแวน โทนีย์ พัวพันกับ กาเบรียล มากัลเญส และจังหวะของ นอร์การ์ด ที่ยืนรับบอลจาก พินน็อค
เดลี่ เมล รายงานว่าผู้ตัดสินในห้องวีเออาร์ "ลืม" ตีเส้น และไม่ละเอียดมากพอในการตรวจสอบการได้ประตูนี้ของ เบรนท์ฟอร์ด
สอดคล้องกับ คริส ฟอย อดีตผู้ตัดสิน พรีเมียร์ลีกที่ปัจจุบันเป็นตัวแทนจากสมาคมผู้ตัดสินฟุตบอลของอังกฤษ (PGMOL) ให้ความเห็นว่าถ้าจังหวะนี้ไม่ลืมตีเส้น ประตูของ เบรนท์ฟอร์ด จะล้ำหน้าแน่นอนในจังหวะที่ พินน็อค โหม่งบอลให้ นอร์การ์ด
อาร์เซน่อล จึงเสียประโยชน์จากความผิดพลาดที่ไม่ควรพลาดของทีมงานผู้ตัดสิน และเป็นจุดที่ มิเกล อาร์เตต้า ไม่พอใจอย่างมากที่ทีมต้องมาเสียประตูแบบนี้
แน่นอนว่า ทีมปืนใหญ่มีจุดที่ต้องปรับปรุงเพียบจากการป้องกันจังหวะนี้ที่โดนเล่นงานจากลูกโด่งอีกครั้ง เช่นเดียวกับไม่ควรเสียฟรีคิกทั้งที่รู้ว่าเบรนท์ฟอร์ดเล่นลูกตั้งเตะได้ดี
แต่หากผู้ตัดสินมีมาตรฐาน ละเอียด และแม่นยำกว่านี้ อาร์เซน่อล ก็จะไม่เสียประตูจังหวะนี้ ส่วนจะเสียจากจังหวะอื่น หรือยิงเพิ่มอีกประตูได้ ก็เป็นอีกเรื่อง
เบรนท์ฟอร์ด เหนือกว่าในการเล่นลูกโด่ง
สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าใน 3 ประตูหลังสุดที่ อาร์เซน่อล เสียให้คู่แข่งมาจากลูกตั้งเตะทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ลูกโหม่งของ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อด้วยลูกโหม่งประตูชัยของ เอฟเวอร์ตัน จาก เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ และล่าสุดประตูของ ไอแวน โทนี่ย์
อาร์เตต้า ทำอะไรไม่ได้แล้วกับความผิดพลาดของผู้ตัดสินที่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน และทุกทีมก็โดนกันหมด อยู่ที่ว่าจะเกิดขึ้นนัดไหน และทำให้เสียประโยชน์มากแค่ไหน
ขณะเดียวกันต้องให้เครดิต เบรนท์ฟอร์ด ด้วยเพราะเล่นได้ดีตามแท็กติกตัวเองและคู่ควรกับการได้คะแนนกลับออกไป โธมัส แฟร้งค์ บอกว่าทีมควรได้เป็นฝ่ายชนะด้วยซ้ำ
เบรนท์ฟอร์ด ไม่แพ้ใครเพิ่มเป็นนัดที่ 10 ติดต่อกัน และเป็นอีกครั้งที่ทำได้ดีกับการเจอทีมใหญ่ พวกเขาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ด้วยการยิงรวม 9 ประตู และยันเสมอ สเปอร์ส กับ เชลซี
เป็นผลงานที่ไม่ธรรมดาจริงๆ และจะไม่เซอร์ไพรส์เลยหากสามารถคว้าตั๋วไปเล่นในถ้วยยุโรปฤดูกาลหน้าได้
ดังนั้น ในสิ่งที่ อาร์เตต้า และลูกทีมทำได้คือต้องแก้ไขและปรับปรุงตัวเอง
เมื่อเจอทีมตั้งรับลึกและแน่นแบบนี้จะเจาะอย่างไร เช่นเดียวกับลูกโด่งที่ช่วงหลังเริ่มเอาไม่อยู่ทั้งที่เคยทำได้ดีก่อนหน้านี้
และจากสิ่งที่ เอฟเวอร์ตัน กับ เบรนท์ฟอร์ด ทำให้เห็นก็ยิ่งทำให้มีอีกหลายทีมมองเป็นแนวทางในการสู้กับ อาร์เซน่อล
ฤดูกาลนี้ อาร์เตต้า พาทีมยืนระยะนำจ่าฝูงมาได้จนถึงปัจจุบันได้เป็นผลงานที่เกินคาดมากเพราะเป้าหมายแรกเริ่มคือ ติดท็อปโฟร์ให้ได้เพื่อไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า หากไม่คิดถึงการลุ้นแชมป์ก็คงโกหก
แต่ขณะเดียวกัน ความยาก ความท้าทายก็ยิ่งเพิ่มเป็นเงาตามตัว ยิ่งมีต่อท้ายว่าเป็น "จ่าฝูง" ก็ยิ่งเหมือนสร้างแรงกระตุ้นให้คู่แข่งมากขึ้นเพราะเจอทีมลุ้นแชมป์ไม่ใช่ทีมที่หลายปีก่อนนี้แค่ลุ้นท็อปโฟร์ยังลำบาก
การสะดุด 2 นัด และหากรวมเอฟเอ คัพ เข้าไปด้วยก็เท่ากับว่าไม่ชนะมา 3 นัดติด คือสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในฤดูกาลนี้
มันเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ทดสอบว่า อาร์เซน่อล ทีมนี้ "ดีพอ" ที่จะเป็นแชมป์แล้วหรือไม่
โดยเฉพาะนัดต่อไปในวันพุธนี้ที่อาจเป็นแมตช์ชี้ชะตาแชมป์
อาร์เซน่อล vs แมนฯ ซิตี้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT