ดีกว่าแพ้ แต่แย่ที่ไม่ชนะ

เป็นการเสมอ 3 นัดติดต่อกันที่ทำให้โมเมนตัมเทไปอยู่ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากขึ้นแม้ อาร์เซน่อล ยังนำจ่าฝูงอยู่ก็ตาม

หลังจากนำแล้วแผ่วจนโดนตามตีเสมอมา 2 นัดติดนอกบ้าน ทีมปืนใหญ่มีโอกาสดีมากในการกลับมาชนะด้วยการได้เล่นในบ้านเจอทีมบ๊วยของตาราง 

มิเกล อาร์เตต้า มีทั้งข่าวดีและแย่ในการจัดทัพ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ฟิตทันลงตัวจริง แต่ กรานิต ชาคา มีอาการป่วยต้องให้ ฟาบิโอ วิเอร่า ลงเล่นแทน ขณะที่ วิลเลี่ยม ซาลีบา ยังไม่หายเจ็บกลับมา

ทว่าเริ่มเกมได้เพียง "27 วินาที" แฟนบอลในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็ต้องช็อกกันทั้งสนาม

อาร่อน แรมส์เดล พลาดอย่างไม่น่าเชื่อจ่ายบอลไปติด การ์ลอส อัลการาซ ที่ดักได้หน้าเขตโทษก่อนยิงสวนเข้าประตูไปเลย

เป็นความผิดพลาดราคาแพงมาก ปืนใหญ่เสียประตูตั้งแต่ไก่โห่ชนิดที่ผู้เล่นในสนามยังโดนบอลกันครบทุกคน เช่นเดียวกับแฟนบอลบางคนที่ยังไม่ได้เข้าสนามด้วยซ้ำ

แผนการเล่นที่วางเอาไว้ก่อนเกมต้องเปลี่ยนทันที 

สถานการณ์เข้าทาง เซาธ์แฮมป์ตัน ที่วางแท็กติกรับรอโต้อยู่แล้ว ได้เน้นแพ็คข้างหลังให้แน่นขึ้น ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็พยายามเดินหน้าลุยเต็มกำลังเพื่อตีเสมอให้ได้

แต่การเล่นของปืนใหญ่ก็ยังขาดๆ เกินๆ ไม่ลงล็อกแม่นยำเหมือนที่เคยทำได้ดีในช่วงเริ่มเกมนัดพบกับ ลิเวอร์พูล และ เวสต์แฮม แถมมาพลาดเสียบอลกลางสนามจนโดนลงโทษซ้ำอีกครั้ง

การ์ลอส อัลการาซ คนเดิมไหลบอลเข้าเขตโทษให้ ธีโอ วัลค็อตต์ วิ่งตัดหลัง กาเบรียล มากัลเญส เข้าไปยิงแบบไม่ต้องจับส่งบอลผ่านมือ แรมส์เดล ตุงตาข่าย 

ร้อยวันพันปี วัลค็อตต์ ถึงจะยิงประตูให้เซาธ์แฮมป์ตันได้ แต่วันนี้เขายิงใส่ทีมเก่าที่เคยอยู่มานาน 12 ปีเต็ม และลงเล่นเกือบสี่ร้อยนัด (397 นัด)

แรมส์เดล ผิดหวังกับความผิดพลาดของตัวเอง

ทีมบ๊วยจึงบุกนำจ่าฝูง 2-0 ใน 14 นาทีแรก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ 

ในเกมเสมอหงส์แดงต่อด้วยขุนค้อนทำให้ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่าอาจไม่นิ่งพอในการรับมือความกดดันในช่วงเวลาสำคัญของการลุ้นแชมป์

และมันเกิดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง

กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ปลุกความหวังขึ้นมาได้กับประตูตีไข่แตก ทว่าการเล่นของทีมก็ยังไม่สามารถติดเครื่องเพื่อเดินหน้าเต็มตัวได้เนื่องจากมีจังหวะที่ต้องหยุดเกมหลายครั้ง 

ทัพนักบุญใช้การฟาวล์ตอดนิดตอดหน่อยในการเบรกเกมรุกปืนใหญ่ การ์ลอส อัลการาซ และ โรแม็ง แปร์โรด์ สังเวยด้วยใบเหลืองหลังทำฟาวล์ บูคาโย่ ซาก้า 

นอกจากนี้ยังมีจังหวะถ่วงเวลา และบาดเจ็บต้องหยุดเกมอีกบ่อยครั้งซึ่งรวมถึงการถูกเปลี่ยนออกของ ยาน เบดนาเร็ค ที่ทีมแพทย์เป็นห่วงว่าอาจกระทบกระเทือนหลังกระโดนขึ้นโหม่งบอลก่อนเสียหลักลงผิดท่า 

อาร์เซน่อล จึงตามหลังคู่แข่งในบ้านอีกครั้งซึ่งก่อนหน้านี้ 2 ครั้งในเกมกับ เวสต์แฮม และ บอร์นมัธ สามารถฮึดกลับมาชนะได้ในครึ่งหลัง

แต่สิ่งที่เกมนี้ต่างออกไปคือ เกือบตลอดครึ่งหลังจนถึงประตูของ มาร์ติน โอเดการ์ด ในท้ายเกม อาร์เซน่อล ไม่มีโอกาสใกล้เคียงที่จะได้ประตูหรือยิงเข้ากรอบเลย

เกมรับของนักบุญทำหน้าที่ได้ดีและแน่นมากหลังจากกุนซือ รูเบน เซเยส เลือกปรับแท็กติกตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังที่ถอดตัวรุก อัลการาซ ออกไปพักแล้วส่งกองหลัง ลียานโก้ ลงเพิ่มเพื่อปรับเล่นหลังห้า 

ประตูปลุกความหวังท้ายเกมของ โอเดการ์ด 

อาร์เซน่อล ครองบอลได้แต่ไม่สามารถเจาะตามช่องเข้าไปยิงเน้นๆ ซาก้า และ มาร์ติเนลลี่ ต้องถ่างออกไกลเขตโทษหลายครั้งเพื่อโยนบอลเข้าไปแทน ทว่าก็ยังไม่เข้าเป้า หรือไม่ก็มีกองหลังนักบุญโหม่งเคลียร์ทิ้งได้ก่อน 

แถมในช่วงเวลาที่กำลังพยายามบุกเอาประตู กลับเป็นทางฝั่งทีมเยือนที่ฉวยโอกาสหนีเป็น 3-1 จากลูกเตะมุมที่เกมรับอาร์เซน่อลพลาดอีกครั้งปล่อยให้ ดูเย่ กาเลต้า-ซาร์ ได้โหม่งเน้นๆ ไม่มีคนประกบ  

ความกดดันถาโถมมากยิ่งขึ้น สวนทางกับเวลาในสนาม 

เกมรุกของปืนใหญ่ยังไม่ดุดันและแม่นยำมากพอในการทลายเกมรับนักบุญ 

ตัวเป้าอย่าง กาเบรียล เชซุส ดูจะอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่มีอะไรเป็นใจ ขณะที่ โธมัส ปาร์เตย์ ที่เป็นตัวออกบอลจากแดนกลางก็มาตรฐานดร็อปลงไป 

แข้งปืนเริ่มเล่นได้อย่างที่ควรต้องเล่นก็ปาเข้าไปนาที 88 ตอนที่ โอเดการ์ด ยิงไกลเสียบเสาซึ่งเป็นการยิงเข้ากรอบครั้งแรกของทีมในครึ่งหลัง การเล่นหลังจากนั้นดูมีแรงกระตุ้นมากยิ่งขึ้นตามเสียงเชียร์ในสนาม และตามตีเสมอได้สำเร็จจาก ซาก้า ในนาทีสุดท้าย 

ทดเจ็บ 8 นาทีคือเวลามากพอในการยิงอีกประตูเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ 

ทว่าจนแล้วจนรอดที่การต่อเวลายืดเพิ่มไปอีก 2 นาที ก็ไม่มีประตูที่แฟนปืนอยากเห็นเกิดขึ้นอีก เลอันโดร ทรอสซาร์ ทำได้ใกล้เคียงสุดกับลูกยิงไกลชนคาน

เสียงนกหวีดยาวจึงดังขึ้นพร้อมอารมณ์อันหลากหลาย 

ปืนใหญ่เสมอตลอด 3 นัดหลังสุด

มิเกล อาร์เตต้า บอกว่าภูมิใจกับลูกฮึดของนักเตะที่พยายามกลับมาหลังผิดพลาดจนสร้างงานให้ตัวเอง แต่ก็ผิดหวังกับผลการแข่งขันเพราะมีโอกาสแซงชนะทว่าก็ทำไม่ได้ 

ปืนใหญ่จึงเก็บได้เพียง 3 คะแนนจาก 3 นัดหลังสุด และมีรอยรั่วชัดเจนหลังบ้านกับการเสียไปถึง 7 ประตูซึ่งแน่นอนว่าการขาดหายไปของ วิลเลี่ยม ซาลีบา ส่งผลอย่างมากทีเดียว 

ช่องว่างกับ แมนฯ ซิตี้ ขยับเพิ่มอีกนิดเป็น 5 คะแนน แต่ทีมของ เป๊ป แข่งน้อยกว่า 2 นัด 

ถ้าคิดตามหลักคณิตศาสตร์ง่ายๆ เรือใบสีฟ้าเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบในมือเพราะหากชนะได้หมดกับ 2 นัดตกค้างก็จะมีคะแนนแซงหน้าทันที

หรือไม่พวกเขาอาจกำหนดชะตาตัวเองในนัดต่อไปเลยที่จะเปิดรังดวล อาร์เซน่อล ในวันพุธที่ 26 เมษายนนี้

นี่คือโอกาสทองของ แมนฯ ซิตี้ ที่หากชนะได้ก็น่าจะตบคันเร่งแซงคว้าแชมป์ได้เลย 

แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของ อาร์เซน่อล ที่จะลบความผิดหวัง และกลับมาชนะอีกครั้งให้ได้ในเกมที่สำคัญสุดของฤดูกาล