มันจบแล้ว
ผลการแข่งขันของทีมสองลุ้นแชมป์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้หลายคนมองแบบนั้น
ในขณะที่จ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ ทำได้ตามเป้าบุกอัด เอฟเวอร์ตัน สบายใจ 3-0 แต่ อาร์เซน่อล ในฐานะผู้ไล่ล่ากลับไม่สามารถคว้าชัยชนะที่ต้องการได้ และถึงขั้นแพ้ยังคาบ้านต่อ ไบรท์ตัน
นั่นทำให้ "เรือใบสีฟ้า" จะป้องกันแชมป์ฤดูกาลนี้ได้ทันทีหากชนะอีกเพียงนัดเดียวใน 3 นัดสุดท้ายซึ่งอาจทำได้ในสุดสัปดาห์ต่อไปนี้เลยกับโปรแกรมในบ้านพบ เชลซี
หรือไม่ก็อาจได้ฉลองเร็วกว่านั้นหาก อาร์เซน่อล ที่ลงสนามก่อนหนึ่งวัน พลาดท่าแพ้อีกนัดในการไปเยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
การลงสนามนัดล่าสุดของทีมปืนใหญ่หลังทราบผลว่าเรือใบสีฟ้าฉีกหนีเป็น 4 คะแนนชั่วคราวทำให้ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่มีเงื่อนไขอื่นนอกจากเอาชนะ ไบรท์ตัน ให้ได้สถานเดียว
ขณะที่ ไบรท์ตัน ของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ต้องการชนะเช่นกันเพราะมีลุ้นพื้นที่ยุโรป และพวกเขาก็เป็นตัวแปรสำคัญในการลุ้นหนีตกชั้น ลุ้นโควตายุโรป และลุ้นแชมป์ของหลายๆ ทีม
เป็นเกมที่เดิมพันสูงมากเพราะต่างฝ่ายต่างต้องการชนะ และปรากฎว่าเป็น ไบรท์ตัน ทำได้
ทัพ "นกนางนวล" สมควรเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในเกมนี้เพราะเล่นได้ดีกว่า แข็งแกร่งและมุ่งมั่นมากกว่า ที่สำคัญคือผิดพลาดน้อยกว่า
ปืนใหญ่กับการเล่นในบ้านที่ผ่านมามักเป็นฝ่ายคอนโทรลเกมได้เป็นส่วนใหญ่ และครองบอลมากกว่าคู่แข่งโดยตลอด แม้กระทั่งวันที่รับมือ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า
แต่ครั้งนี้ ทีมของ อาร์เตต้า ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ไบรท์ตัน ทำได้ตามที่ เด แซร์บี้ ประกาศลั่นหลังเกมพ่ายยับต่อ เอฟเวอร์ตัน ว่าจะพาทีมแก้ตัวและโชว์ให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของทีม
ยอดทีมจากเมืองท่องเที่ยวทางตอนใต้ของอังกฤษเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ด้วยการเล่นที่คุณภาพตั้งแต่หลังยันหน้า แต่ละคนเข้าใจในการเล่นเป็นอย่างดี สอดประสานกันอย่างลงตัว และใช้พื้นที่ว่างได้เป็นประโยชน์
นอกจากนี้ยังสามารถเบรกเกมของ อาร์เซน่อล ได้อยู่เรื่อยๆ ทำให้การเล่นของปืนใหญ่ขาดความต่อเนื่อง ไม่ลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น
เราได้เห็นการฟาวล์การตัดเกมค่อนข่างบ่อยในช่วงแรก และเป็นที่มาอาการบาดเจ็บของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่่ ที่ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาที 20 พร้อมกับมี เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงสนามแทน
อาร์เซน่อล ไม่สามารถขึงเกมได้อย่างเคย และโอกาสลุ้นส่วนใหญ่มาจากการตัดเกมได้ในแดนตัวเองแล้วโต้กลับซึ่งมีพื้นที่พอสมควรเพราะเกมค่อนข้างเปิด โต้กันไปโต้กันมา
ในครึ่งแรก โอกาสลุ้นยิงของ อาร์เซน่อล มีมากกว่าที่ 8 ต่อ 3 ครั้ง ทว่าเข้ากรอบเพียงฝั่งละครั้ง
แต่ครึ่งหลังความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมก็ชัดมากขึ้น
อาร์เซน่อล ยังไม่สามารถพลิกกลับมาคอนโทรลเกมได้ และเปอร์เซ็นต์ครองบอลก็น้อยกว่า ไบรท์ตัน เหมือนครึ่งแรก
ในทางกลับกัน ไบรท์ตัน เล่นด้วยความมั่นใจมากขึ้น และฉกฉวยความผิดของ อาร์เซน่อล ได้เป็นอย่างดี
จริงๆ แล้ว ไบรท์ตัน เล่นด้วยการเซตบอลจากข้างหลังขึ้นทีละแดนไม่ต่างจาก อาร์เซน่อล จากนั้นเริ่มเร่งจังหวะหลังผ่านกลางสนาม มีหลายครั้งที่ปืนใหญ่น่าจะตัดบอลได้ตั้งแต่แดนบน แต่ก็เหมือนเข้าไม่สุด เรี่ยวแรงในการวิ่งไล่ไม่เพียงพอ ทำให้จังหวะการเล่นดูกั๊กไปหมด
เมื่อ ไบรท์ตัน พาบอลผ่านกลางสนามมาได้ ความสามารถเฉพาะตัวของ คาโอรุ มิโตมะ และ ฮูลิโอ เอ็นซีโซ่ ก็พร้อมเล่นงานเกมรับเจ้าบ้านอยู่แล้ว
ช่วงเริ่มเกม มิโตมะ ยืนทางขวา แต่เล่นไม่ออกมากนัก แต่พอปรับมาทางซ้ายที่ถนัดก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น จังหวะลงตัวกับการเติมเกมรุกของ เปร์วิส เอสตูปินญาน
ตลอดครึ่งหลัง ไบรท์ตัน จึงสร้างโอกาสลุ้นยิงได้มากขึ้นที่ 9 ครั้ง และเป็น 3 ประตูช็อกกองเชียร์เจ้าถิ่น
ไบรท์ตัน ได้ประตูแรกในช่วงเวลาที่ดีตอนต้นครึ่งหลัง ซึ่ง อาร์เซน่อล เองก็น่าจะป้องกันได้ดีกว่าหากไม่มีเหตุการณ์ที่ ยาคุบ คีวิออร์ โดนเหยียบเอ็นร้อยหวายจนรองเท้าหลุด
เป็นความตั้งใจหรือไม่ของ อีวาน เฟอร์กูสัน หัวหอกดาวรุ่งไบรท์ตันที่วิ่งเข้าหาบอลก่อนเหยียบส้นเท้าเซนเตอร์แบ็กทีมชาติโปแลนด์จนทรุดนั่งลงในจังหวะที่ เอสตูปินญาน ได้เปิดบอลย้ำเข้ากลางอีกทีไปถึง เอ็นซีโซ่ ขวิดจ่อๆ ตุงตาข่าย
จังหวะนี้เหมือนว่า คีวิออร์ ทิ้งตัวทันทีเพื่อเรียกฟาวล์ แต่พอผู้ตัดสินไม่ว่าอะไรจึงกลายเป็นไม่ได้กระโดดป้องกัน หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าตัวเจ็บจริงจึงไม่สามารถเล่นต่อได้
อาร์เซน่อล ต้องปรับเกมทันทีเน้นรุกมากขึ้นเป็น 4-1-4-1 ด้วยการส่ง รีสส์ เนลสัน และ โธมัส ปาร์เตย์ ลงแทน กรานิต ชาคา และ จอร์จินโญ่ และเป็น เนลสัน ที่เกือบตีเสมอให้ทีมได้จากการโยกแล้วยิงทางฝั่งขวาที่บอลหลุดเสาไปนิดเดียว
เกมของ อาร์เซน่อล ยังเร่งไม่ขึ้นในช่วงเวลาที่ต้องการประตู ความกดดันเริ่มถาโถมเข้าใส่มากขึ้น แม้แต่ อาร์เตต้า ยังโดนใบเหลืองหลังโวยวายเกินเหตุ
อาร์เตต้า เสี่ยงอีกครั้งถอด มาร์ติน โอเดการ์ด และ กาเบรียล เชซุส ออกพร้อมกันในช่วง 13 นาทีสุดท้ายเพื่อให้ เอมิล สมิธ โรว์ และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ลงแทน
ทว่าในจังหวะที่พยายามเล่นเร็วเพื่อหนีการไล่เพรสของทีมเยือน อาร์เซน่อล กลับเป็นฝ่ายพลาดเองเมื่อ ทรอสซาร์ จะชิ่งจังหวะเดียวหน้าเขตโทษ แต่กลับไปติดเพื่อนเก่า ปาสกาล โกรสส์ ที่เข้าบล็อกได้ทำให้บอลเด้งลอยไปหากองหน้าตัวสำรอง เดนิซ อุนดาฟ ยืนโล่งๆ จัดการกระดกข้ามหัว อารอน แรมส์เดล เข้าไป
รูปเกมเป็นรอง แถมเสียประตูจากความผิดพลาดแบบนี้ กองเชียร์เจ้าถิ่นถึงกับเดินออกจากสนามกลับบ้านก่อนจบเกมกันหลายคน
ส่วนประตูสุดท้ายช่วงทดเจ็บเป็นเหมือนการตอกย้ำวันแย่ๆ ของ อาร์เซน่อล
อาร์เตต้า ยอมรับว่าฟอร์มการเล่นในครึ่งหลังของทีมเป็นสิ่งที่รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
แพ้ในการดวลตัวต่อตัว จังหวะเบียดปะทะสู้ไม่ได้ บอลจังหวะสองเป็นรอง ไบรท์ตัน ที่เก็บได้มากกว่า
ประตูที่เสียก็ง่ายเกินไป และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถตอบสนองออกมาได้เลย เหมือนยอมรับสภาพ ขณะที่ตัวสำรองก็สร้างความแตกต่างไม่ได้
เป็นอีกความพ่ายแพ้ที่ อาร์เซน่อล ได้เห็นตัวเองมากยิ่งขึ้นว่าการจะเป็นแชมป์ได้ต้องมีทีมที่กว่านี้ทั้งคุณภาพภายนอก และภายในเรื่องของหัวใจนักสู้
มาร์ติน โอเดการ์ด ในฐาะกัปตันทีมก็ยอมรับสภาพว่าความหวังในการลุ้นแชมป์แทบไม่เหลือแล้ว
ที่ผ่านมา โอเดการ์ด คือคนที่คอยกระตุ้นเพื่อนมาโดยตลอด ในแต่ละเกมวิ่งพล่านพาทีมพลิกสถานการณ์ได้บ่อยครั้ง ทว่าสีหน้าท่าทางหลังถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมนี้ต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
อาร์เซน่อล ทำได้ดีมากๆ แล้วกับการยืนหยัดลุ้นแชมป์มาจนถึงวันนี้ ทีมมาไกลเกินความคาดหมาย และทำให้หลายคนได้ฝันอย่างที่ไม่เคยฝันมาก่อน
แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำฝันให้เป็นจริง และคงต้องยอมรับว่า แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสที่มากกว่ากับการเป็นแชมป์
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT