Xhaka’s redemption - ไถ่บาปด้วยบุญปืน (1)
เรื่องราวของ ชาก้า กับการค้าแข้งในสีเสื้อปืนใหญ่สามารถทำเป็นสารคดีที่มีความเข้มข้นและหลากหลายอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องราวที่เปรียบเหมือนตัวอย่างสะท้อนภาพช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของสโมสรได้ชัดเจนที่สุด
กรานิต ชาก้า อำลา อาร์เซน่อล ได้สวยงามและเกือบสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในฤดูกาลที่เกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอง
อาร์เซน่อล เอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 5-0 ในนัดส่งท้ายฤดูกาลที่ ชาก้า ทำไปสองประตู และได้รับเสียงปรบมือกึกก้องทั้งเป็นการสดุดีผลงานและร่ำลาไปพร้อมกัน
ทุกคนรับทราบและเข้าใจตรงกันตั้งแต่วันนั้นว่าเป็นการเล่นนัดสุดท้ายของ ชาก้า ก่อนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ชาก้า ปิดฉากช่วงเวลา 7 ปี การค้าแข้งที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมด้วยการย้ายกลับไปเล่นในบุนเดสลีกา เยอรมัน อีกครั้งกับ เลเวอร์คูเซ่น หลังก่อนหน้านี้เคยเริ่มสร้างชื่อกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
ช่วงเวลา 7 ปีกับปืนใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น ดราม่า ลงสุด-ขึ้นสุด ถือได้ว่าเป็นบทเรียนชีวิตที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
จากคนที่เคยลากเอาสโมสรลงไปอยู่ในจุดเลวร้ายสุดจนถูกแฟนบอลตราหน้าชนิดไม่เผาผี สามารถพาตัวเองกลับมาได้รับเสียงชื่นชมและปิดฉากได้อย่างซาบซึ้ง
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จุดเริ่มต้น และระเบิดเวลา
ในซัมเมอร์ 2016 อาร์เซน่อล เซ็นสัญญา กรานิต ชาก้า มาจาก กลัดบัค ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ซึ่งนับว่าแพงสุดอันดับ 3 ของสโมสรในเวลานั้นรองจาก เมซุต โอซิล และ อเล็กซิส ซานเชซ
อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องการแกนหลักคนใหม่ในแดนกลางหลังการแขวนสตั๊ดของ มิเกล อาร์เตต้า และการอำลาทีมของ มาติเยอ ฟลามินี่ ขณะที่ แจ็ค วิลเชียร์ ถูกปล่อยไปให้ บอร์นมัธ ยืมใช้งาน
ซานติ กาซอร์ล่า กับ อารอน แรมซีย์ ยังอยู่ในทีมแต่มีปัญหาบาดเจ็บบ่อยครั้ง ส่วน โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ อยู่ในฐานะอะไหล่มากกว่า
แม้ เวนเกอร์ มีความตั้งใจอยากปั้น ชาก้า ให้เป็นมิดฟิลด์แบบ "บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์" แต่การเล่นส่วนใหญ่ยังคงเป็นกองกลางตัวรับทั้งยืนปักหลักคนเดียวและมีอีกคนขนาบข้าง
ตำแหน่งการเล่นและสไตล์คาบลูกคาบดอกของ ชาก้า นำมาซึ่งความเสี่ยงในหลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นใบเหลือง ใบแดง จุดโทษ และความผิดพลาดที่นำไปสู่การเสียประตู
ตลอด 6 ฤดูกาลแรกหรือจนถึงฤดูกาล 2021/22 กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้เล่นเอาฟิลด์ที่ทำผิดพลาดจนเสียประตูมากสุดที่ 8 ครั้ง และได้ใบแดงมากสุด 4 ใบ รวมถึงทำเสียจุดโทษมากสุด 6 ครั้ง
ชาก้า ครองอันดับ 1 หลายสถิติในช่วง 6 ปีแรกกับ อาร์เซน่อล
หากใครที่ตามบุนเดสลีกามาก่อนคงไม่แปลกใจกับสถิติดังกล่าวเพราะฤดูกาลสุดท้ายที่เล่นให้สิงห์หนุ่ม ชาก้า โดนไล่ออก 3 ครั้ง และทำเสียจุดโทษ 2 ครั้ง
สำหรับบางคน การเห็น กรานิต ชาก้า อยู่ในสนามจึงไม่ต่างจากการเห็นระเบิดเวลาที่ต้องลุ้นอย่างตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะ " ตูม" ออกมาเมื่อไหร่
แต่ขณะเดียวกัน ความดุดันถึงลูกถึงคนในแบบ ชาก้า ก็เป็นสิ่งที่ อาร์เซน่อล ขาดหายไปในหลายปีนับตั้งแต่หมดยุคของ ปาทริค วิเอร่า และมักถูกมองว่า "หน่อมแน้ม" ไม่สามารถสร้างความยำเกรงต่อคู่แข่งได้
จุดแตกหักในเกม คริสตัล พาเลซ
หนึ่งในช่วงเวลาดำมืดที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรคือเหตุการณ์สุดอื้อฉาวของ กรานิต ชาก้า ในเกมพบ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2019
ชาก้า ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงหลังแสดงกิริยาไม่เหมาะสมตอบโต้แฟนบอลปืนใหญ่ที่โห่ใส่ระหว่างถูกเปลี่ยนตัวออก
กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์คุมอารมณ์ไม่อยู่ตอบโต้คืนด้วยการทำท่าเอามือป้องหูและสบถด่ากลับแฟนบอลว่า "f**k off" ก่อนถอดเสื้อและปลอกแขนกัปตันทีมออกอย่างไม่ใยดี
ก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือน แข้งชาวสวิสเพิ่งได้รับเลือกจาก อูไน เอเมรี่ กุนซือปืนใหญ่ในเวลานั้นให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่แทนที่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ที่ย้ายออกไป ทว่าวีรกรรมครั้งนี้คือสิ่งที่หลายคนรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ไม่เคยมีกัปตันทีมคนใดทำกับแฟนบอลขนาดนี้มาก่อน
หลายคนจึงเรียกร้องให้ปลด ชาก้า ออกจากตำแหน่งกัปตันทีม และมีอีกไม่น้อยที่ต้องการให้สโมสรเฉดหัวทิ้งออกจากสโมสร เรียกได้ว่าปฏิกิริยาส่วนใหญ่ในตอนนั้น "ไม่เผาผี" กันเลยทีเดียว
เดิมที แฟนบอลบางส่วนไม่ได้ชื่นชอบสไตล์การเล่นของ ชาก้า เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเล่นอันโฉ่งฉ่างของเขาส่งผลเสียต่อทีมหลายครั้ง จากที่ควรเป็นที่พึ่งให้กับรุ่นน้องหลายคน กลับกลายเป็นภาระเสียเอง
ในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา นี่คืออีกเหตุการณ์สุดเลวร้ายที่ไม่น่าจดจำคล้ายกับครั้งที่ เอริค คันโตน่า อดีตกองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระโดดถีบแฟนบอลพาเลซในปี 1995
ชาก้า หลุดจากทีม 3 นัดติดต่อกันก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกปลดเขาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมในเดือนพฤศจิกายน
สถานการณ์ตอนนั้น แทบไม่มีใครคาดคิดว่า ชาก้า จะได้กลับมาลงเล่นในสีเสื้อปืนใหญ่อีกครั้ง และหลายคนก็ฟันธงว่าเขาจะถูกขายทิ้งแน่นอนในตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคม
ท่ามกลางเสียงก่นด่าและสาบแช่งมากมาย ในอีกมุมหนึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่า ชาก้า ต้องเจอกับอะไรบ้างโดยเฉพาะความเดือดดาลของบางคนที่เลยเถิดไปไกล
"สิ่งต่างๆ ล้ำเส้นเกินไปมากในวันนั้น เราขึ้นนำ 2-0 ก่อนถูกตีเสมอ 2-2 ผมถูกเปลี่ยนตัวออกหลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในตอนแรกผมแทบไม่มีตอบโต้ใดๆ หลังได้ยินเสียงโห่ซึ่งไม่ได้มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ตรงมุมธงนะ แต่หลายคนเลย" ชาก้า เล่าย้อนถึงเหตุการณ์นี้เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
"ผมช็อกนะเพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ตอนเดินใกล้ถึงอุโมงค์แล้วมองขึ้นบนตรงแฟนบอลนั่งอยู่ ผมได้เห็นในสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมได้เลยไปตลอด"
"เวลาที่ผมหลับตาลง ผมยังจดจำใบหน้าพวกเขาได้ดี ผมเห็นถึงความโกรธแค้น มันไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาไม่ชอบผม ไม่เลย มันต่างออกไป มันเป็นความเกลียดชิง เกลียดเข้าไส้เลย ผมไม่ได้พูดเกินไปเลยนะ"
"ผมไม่เคยมีปัญหากับคำวิจารณ์ เช่นว่า วันนี้ ชาก้า มันเล่นห่วยแตกอีกแล้วใช่มั้ย? โอเค แบบนี้ไม่มีปัญหา แต่การถูกแฟนบอลตัวเองโห่ในฐานะกัปตันเนี่ยนะ? มันต่างออกไป"
"วันนั้น ผมรู้สึกถูกดูหมิ่นมากๆ คอมเมนต์ต่างๆ มันเกินไป มันเหมือนเล่นเรื่องส่วนตัวกันแล้ว ผมเป็นกัปตันทีม อาร์เซน่อล แต่ผมก็มนุษย์คนนึงที่มีความเจ็บปวด และผมตอบโต้กลับไป ผมพูดโต้ตอบ เอามือป้องหู พอออกจากสนามก็ถอดเสื้อปาลงพื้นและเดินเข้าอุโมงค์"
กรานิต ชาก้า แทบหมดอนาคตกับสโมสร แต่แล้วก็เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญนั่นคือการมาของ มิเกล อาร์เตต้า
(โปรดติดตามต่อในตอนที่ 2)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT