:::     :::

วันจมเรือที่รอมานาน

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล ลบฝันร้ายกับการเจอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกลงได้เป็นที่เรียบร้อยด้วยชัยชนะที่สำคัญสุดอีกนัดในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า

อาร์เตต้า พา อาร์เซน่อล เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้เสียทีหลังจากแพ้มาตลอด 12 นัดหลังสุด พร้อมกับเสียรวม 33 ประตู และยิงคืนได้เพียง 5 ประตูเท่านั้น

ปืนใหญ่แสดงให้เห็นว่าได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาจนสามารถ "ปลดแอก" จากเรือใบได้เสียที

ด้วยการไม่มี บูคาโย่ ซาก้า ที่บาดเจ็บจนพลาดเกมพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกจากที่เล่นมาตลอด 87 นัดหลังสุด ขณะที่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ โธมัส ปาร์เตย์ ฟิตเป็นเพียงแค่สำรอง ความพร้อมเรื่องขุมกำลังของ อาร์เซน่อล จึงไม่ได้เหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ ที่ขาด เควิน เดอ บรอยน์ และ โรดรี้ ไปพร้อมกัน

มิเกล อาร์เตต้า และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จึงได้ดวลกันเต็มๆ ในเรื่องแผนการเล่นและตัวผู้เล่นที่มีเป็นหลัก

อาร์เตต้า เลือกให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงเล่นปีกซ้ายพร้อมโยก กาเบรียล เชซุส เล่นฝั่งขวา และมี เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ปักหลักหน้าเป้า ขณะที่แดนกลางปรับส่ง จอร์จินโญ่ ลงแทน ไค ฮาแวร์ตซ์ เพื่อเสริมเกมรับ

ส่วน เป๊ป ให้เจ้าหนู ริโก้ ลูอิส ลงเป็นลูกหาบช่วยเหลือ มาเตโอ โควาซิช พร้อมกับถอย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ไปผนึกกำลังแดนกลางอีกแรงเพื่อทดแทนการขาดหายไปของ โรดรี้


ในภาพรวมตลอดทั้งเกม อาร์เตต้า ทำได้ดีกว่า เป๊ป ทั้งแท็กติกการเล่นและการแก้เกม 

มีเพียงช่วงแรกที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ดีกว่าจากการบีบสูงตั้งแต่แดนบนทำให้ อาร์เซน่อล ออกบอลลำบาก

ราบิด ราย่า ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูเปิดบอลได้ดีเยี่ยม ก็เหมือนเสียความมั่นใจจากการโดนบีบโดนไล่ถึงตัวและเกือบเสียประตูในจังหวะที่ ฮูเลียน อัลวาเรซ ปรี่เข้าถึงเร็วจนบล็อกการเปิดบอลได้เต็มๆ ยังดีที่บอลเด้งเข้าข้างตาข่าย 

แมนฯ ซิตี้ เกือบนำจากสองจังหวะต่อเนื่องช่วงต้นเกม แต่ เดแคลน ไรซ์ โหม่งเคลียร์บนเส้นหวุดหวิด และแถวสองที่ซิตี้เก็บได้ก่อนจบด้วยการยิงจ่อๆ ของ นาธาน อาเก้ ก็ข้ามคานไปอีก

แต่หลังจากนั้น อาร์เซน่อล เริ่มประคับประคองตัวเองให้การเล่นกลับมาสูสีใกล้เคียงกัน และดีกว่าชัดเจนในครึ่งหลัง 

อาร์เตต้า วางแผนการเล่นค่อนข้างรัดกุม พอตั้งเกมของตัวเองได้ก็เน้นความชัวร์ในการจ่ายบอล จอร์จินโญ่ ที่ลงตัวจริงในลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้สามารถแบ่งเบาภาระของ เดแคลน ไรซ์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด ได้ไม่น้อย 

เดแคลน ไรซ์ ยังคงยอดเยี่ยมในการชิงจังหวะตัดบอลและคอยเบรกเกมแดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ จนไม่สามารถลำเลียงบอลได้อย่างถนัด มาเตโอ โควาซิช ถึงกับสมาธิหลุดทำฟาวล์หนักแบบไม่จำเป็นสองครั้ง แต่โชคดีไม่โดนไล่ออกจากสนาม

การรอดตัวของ โควาซิช กลายเป็นจุดที่ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีกถูกตั้งคำถามอีกครั้งเพราะในการฟาวล์ครั้งแรกใส่ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ได้ใบเหลืองก็เป็นเหลืองที่เกือบแดงได้เลย ส่วนครั้งสองที่อัด เดแคลน ไรซ์ ก็น่าจะเป็นเหลืองอีกใบ แต่กลับไม่โดนอะไร


โควาซิช รอดตัวในครึ่งแรก

แม้ โอเดการ์ด ในฐานะกัปตันทีมจะไม่พอใจจนต้องเข้าไปทักท้วงกับผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ อีกรอบระหว่างเดินเข้าห้องแต่งตัวหลังจบ 45 นาทีแรก แต่จากได้พักครึ่งกลับมาลุยกันต่อ อาร์เซน่อล ก็ยังสามารถโฟกัสการเล่นได้ต่อเนื่อง ไม่มีอารมณ์ค้างคาจากครึ่งแรก

เกมครึ่งหลังของ อาร์เซน่อล ยกระดับขึ้นได้ดีกว่าครึ่งแรก ส่วนหนึ่งคือการเปลี่ยนตัวลงมาของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่แม้เพิ่งหายเจ็บจนหายหน้าไป 5 นัดติด แต่ก็มาพร้อมความมุ่งมั่นเกินร้อยตามสไตล์ 

มาร์ติเนลลี่ สร้างปัญหาให้ทีมแชมป์เก่าได้ไม่น้อย และครั้งแรกที่ อาร์เซน่อล ยิงตรงกรอบในเกมนี้ก็มาจากการซัดมุมแคบของเจ้าตัวในต้นครึ่งหลัง

อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายพลิกกลับมาครองบอลได้เหนือกว่าในครึ่งหลัง และมีโอกาสลุ้นยิงมากกว่า ส่วนเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ แทบตายสนิทไปเลย โอกาสง้างครั้งเดียวมาจากการซัดหน้าเขตโทษของ อัลวาเรซ แต่ก็โด่งข้ามคานไปไกล

เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ดาวยิงตัวเก่งของทัพเรือใบกระดิกไม่ออกอีกครั้งเมื่อต้องเจอกับ วิลเลี่ยม ซาลีบา ที่จัดการอยู่หมัด ตอนดวลกันในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนเริ่มฤดูกาลก็เป็นปราการหลังปืนโตทำได้ดีกว่า

ฮาแลนด์ ไม่ได้โอกาสลุ้นยิงประตูแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นทำให้เกมรุกของซิตี้ลดความอันตรายลงไปเยอะ 


สำรองปืนใหญ่ลงมาพลิกเกม

มีหลายจังหวะการเล่นในครึ่งหลังที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าทั้งสองทีมเหมือนกำลังพอใจกับการไม่แพ้ และแบ่งคะแนนกันไปเพราะต่างฝ่ายต่างไม่อยากพลาดก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติ

ทว่าเป็นกลุ่มสำรองอีก 3 คนของ อาร์เซน่อล ที่ลงมาช่วง 15 นาทีสุดท้าย สามารถสร้างความแตกต่างได้จนกระทั่งนำไปสู่ประตูชัยตัดสินเกม

เป็นอีกครั้งที่การเปลี่ยนตัวแก้เกมของ อาร์เตต้า ได้ผลเพราะสำรอง 3 คนอันประกอบด้วย โธมัส ปาร์เตย์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ หลังรวมถึง มาร์ติเนลลี่ ที่ลงมาก่อน ประสานงานกันจนได้ประตูที่แฟนบอลปืนใหญ่ทั้งโลกรอคอย

ปาร์เตย์ วางบอลโด่งเข้าไปถึงเขตโทษซิตี้ โทมิยาสึ ได้โหม่งชงต่อให้ ฮาแวร์ตซ์ ที่ไหลย้อนกลับให้ มาร์ติเนลลี่ ตะบันไปแฉลบ นาธาน อาเก้ เปลี่ยนทางเล็กน้อยเข้าประตูไป เอแดร์ซอน หมดสิทธิ์เซฟด้วยประการทั้งปวงเพราะขยับไปอีกทางแล้ว

โทมิ ไปโผล่ในเขตโทษเรือใบแบบเซอร์ไพรส์เพราะได้โอกาสดันเกมรุกจากเดิมทีถูกส่งลงมาให้ประกบ เฌเรมี่ โดกู ตัวสำรองของซิตี้ แต่ โดกู โยกไปเล่นเกมรุกฝั่งซ้ายที่ต้องเจอกับ เบน ไวท์ ภารกิจของกองหลังทีมชาติญี่ปุ่นจึงเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก

ประตูเดียวในเกมที่ค่อนข้างอึดอัดและกดดันจนเกร็งด้วยกันทั้งสองทีม ถือว่ามากพอที่จะชี้ขาดชัยชนะได้ อาร์เซน่อล จึงปลดล็อกเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ตอนนั้นทัพเรือใบยังเป็น มานูเอล เปเยกรินี่ คุมทัพ


ปืนใหญ่ปลดแอกจากเรือใบหลังเคยแพ้ 12 นัดติดในลีก

เป็นชัยชนะที่สำคัญมากสำหรับ อาร์เซน่อล เพราะไม่เพียงรักษาสถิติไร้พ่ายในลีกและทำคะแนนขึ้นไปทาบ สเปอร์ส ได้อีกครั้ง แต่ยังเป็นการชนะก่อนพักเบรกทีมชาติที่แน่นอนว่าบรรยากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับ แมนฯ ซิตี้

นอกจากนี้ อาร์เซน่อล ยังได้ชัยชนะที่รอมานานกับการโค่น แมนฯ ซิตี้ ลงได้เสียทีหลังจากเคยมองมาตรฐานการเล่นของเรือใบเป็นจุดที่คอยผลักดันตัวเองให้ยกระดับขึ้นมา 

ความพ่ายแพ้และความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ในบางครั้งก็เล่นเต็มที่สุดชีวิตแล้วแต่ยังลงเอยเหมือนเดิม เป็นเหมือน "รั้ว" ขนาดสูงที่ อาร์เซน่อล ไม่เคยก้าวข้ามได้เลย

แต่วันนี้ มิเกล อาร์เตต้า และลูกทีมทำได้แล้ว ปืนใหญ่ยิงเรือใบจบลงสู่ก้นทะเลได้แล้ว

นี่คือชัยชนะสุดล้ำค่า งดงาม และอาจเป็นจุดเริ่มต้นก้าวไปสู่การเป็นทีมหัวแถวเต็มตัวรวมถึงได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความสำเร็จอีกครั้งก็เป็นได้


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด