เซตพีซพิชิต3แต้ม
ก่อนพักเบรกสองสัปดาห์ ผลงานของ อาร์เซน่อล แผ่วลงไปชัดเจนเมื่อชนะได้เพียงนัดเดียวจาก 6 นัดหลังสุดในทุกรายการ และเป็นการแพ้ตลอด 3 นัดหลังสุด
นัดเดียวที่ชนะคือเกมทุบ ไบรท์ตัน 2-0 ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม จากนั้นบุกเสมอ ลิเวอร์พูล ก่อนแพ้ติดต่อกันในลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ที่พบ เวสต์แฮม และ ฟูแล่ม ตามด้วยตกรอบเอฟเอ คัพ คาบ้าน ด้วยน้ำมือ ลิเวอร์พูล
มิเกล อาร์เตต้า ต้องการจุดเปลี่ยนในการกลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังได้โอกาสพาลูกทีมเปลี่ยนบรรยากาศบินไปเข้าแคมป์ฝึกซ้อมที่ดูไบ, ยูเออี หลายวัน
เป็นช่วงเบรกที่เข้ามาแทรกได้ถูกที่ถูกเวลาเพราะผลงานของทีมกำลังไม่ดี การเว้นวรรคสักเล็กน้อยน่าจะช่วยให้มีเวลาตั้งสติและทบทวนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้่งเพื่อให้นักเตะบางรายที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนได้พักฟื้นร่างกายอย่างเต็มที่
กาเบรียล เชซุส กับ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่ไม่ได้ช่วยทีมในเกมเอฟเอกับหงส์แดง จึงฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง ขณะที่แกนหลักอื่นยังเป็นชุดเดิมยกเว้นเพียงกลุ่มที่เดี้ยงยาวอย่าง ยูร์เรียน ทิมเบอร์ และ โธมัส ปาร์เตย์ รวมถึง ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ และ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ที่ไปเล่นทีมชาติ
นอกจาก เชซุส กับ ซินเชนโก้ ที่กลับมาเป็นตัวจริงแล้ว อาร์เตต้า ปรับแนวรุกอีกจุดให้โอกาส เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงเล่นแทน กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่ดูเนือยๆ ลงไปในช่วงหลัง
เทียบความฟิตความสดแล้ว อาร์เซน่อล เหนือกว่า คริสตัล พาเลซ พอสมควรเพราะทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน เพิ่งผ่านเกมกลางสัปดาห์ที่บดกับ เอฟเวอร์ตัน หนักหน่วงในเอฟเอ คัพ และตกรอบด้วย
แต่จุดที่กลายเป็นข้อแตกต่างชัดเจนสุดในเกมนี้คือ ประสิทธิภาพในการเล่นลูกเซตพีซ
กาเบรียล ขึ้นคนเดียวกับลูกโขกประตูแรก
นี่คือจุดแข็งของ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วที่ได้ประตูจากการเล่นลูกตั้งเตะไม่ว่าจะเป็นเตะมุม ฟรีคิก และจุดโทษ เยอะมาก เช่นเดียวกับฤดูกาลนี้ที่ยังคงเหนือกว่าทุกทีม
เพียงแค่เตะมุมครั้งแรกในนาที 11 อาร์เซน่อล ก็ได้ประตูที่ต้องการทันที เดแคลน ไรซ์ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายโด่งไปเสาไกล กาเบรียล มากัลเญส ลอยขึ้นโขกเน้นๆ ดีน เฮนเดอร์สัน สุดปัญหาจะป้องกันได้
กาเบรียล แทบจะกระโดดขึ้นโหม่งคนเดียวในเขตโทษเลย คริส ริชาร์ดส์ ที่ตามประกบก็ไม่กระโดดด้วย และเหมือนเป็นฐานให้ปราการหลังบราซิเลียนด้วยซ้ำ
พาเลซ มีปัญหาจริงๆ ในการป้องกันลูกเตะมุมเพราะเตะมุมครั้งต่อมาของเจ้าถิ่น เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ ที่ลงไปช่วยเกมรับก็โหม่งเคลียร์ไปโดนหัว เจฟเฟอร์สัน เลร์มา เด้งย้อนชนสามเหลี่ยม เกือบเป็นการโหม่งเข้าประตูตัวเอง ตามด้วยนาที 22 ที่ กาเบรียล มากัลเญส ได้โขกแต่หลุดกรอบ
พอถึงครั้งที่ 4 ได้เตะมุม อาร์เซน่อล ก็ได้ประตูที่สองจนได้ บูคาโย่ ซาก้า เปิดจากฝั่งขวาเลยไปเสาไกล กาเบรียล มากัลเญส เบียดชนะ คริส ริชาร์ดส์ ก่อนได้โขกอีกครั้ง บอลไปโดนตัว ดีน เฮนเดอร์สัน เด้งเข้าประตูไป
ประตูนี้ พรีเมียร์ลีกพิจารณาว่าเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของนายทวาร ดิ เกิ้ลส์ ทำให้ กาเบรียล มากัลเญส พลาดได้เครดิตทำประตูที่สองในเกม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเป็นประตูของ อาร์เซน่อล เหมือนเดิม ไม่ได้มีจังหวะฟาวล์หรือปัญหาใดๆ จนถูกริบคืน
เท่ากับว่าเตะมุม 4 ครั้งแรก ปืนใหญ่ เล่นงานผู้มาเยือนได้ตลอด และถ้าพูดเจาะจงลงไปก็เป็น กาเบรียล มากัลเญส ที่มีเอี่ยวทุกครั้งซึ่งรวมถึงจังหวะของ เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ ที่หากไม่โหม่งตัดหน้าก่อน กาเบรียล ก็ได้โขกอีกลูกแน่ คริส ริชาร์ดส์ เอาไม่อยู่จริงๆ
อาร์เซน่อล ขึ้นนำ 2-0 ในครึ่งแรก และเพิ่มสถิติได้ประตูจากลูกเซตพีซรวมเป็น 13 ประตู มากกว่าทุกทีมในลีก ขนาด เอฟเวอร์ตัน ที่มี ฌอน ไดช์ ที่เชี่ยวชาญการเล่นลูกโด่งก็ยังเป็นรอง (11 ประตู)
ประตู 2-0 ยืนยันว่าเป็น ดีน เฮนเดอร์สัน ทำเข้าประตูตัวเอง
นอกจากเกมรุกที่ทำได้ดีกับลูกตั้งเตะแล้ว เกมรับก็ป้องกันได้เยี่ยมเช่นกัน แถมเปลี่ยนจากรับเป็นรุกและจบด้วยประตูอีกด้วยกับประตูที่สามในช่วงครบหนึ่งชั่วโมงพอดี
พาเลซ ได้เตะมุมแต่ทำอะไรไม่ได้ ดาบิด ราย่า จึงออกบอลเร็วขว้างให้ กาเบรียล เชซุส ได้หลุดขึ้นทางขวาก่อนปาดเข้ากลางให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ แตะเข้าในหนีตัวบล็อกก่อนบรรจงซัดเน้นๆ ราวกับยิงจุดโทษ เฮนเดอร์สัน หมดสิทธิ์ป้องกันอีกครั้ง
3-0 ก่อนเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย และเป็น 3 ประตูที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพทั้งเกมรุกและเกมรับในการเล่นลูกเซตพีซ
หลายคนคงคิดว่าในช่วงไปเข้าแคมป์ที่ดูไบ อาร์เตต้า คงสั่งลูกทีมซ้อมการเล่นลูกตั้งเตะหนักยิ่งกว่าเดิมมาแน่ๆ แต่กุนซือปืนโตเผยว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยในจุดนี้ เป็นจุดอื่นต่างหากที่เน้นมากกว่า
ช่วงเวลาที่เหลือ รอย ฮ็อดจ์สัน แทบรับสภาพกับผลการแข่งขัน และแม้มีโอกาสลุ้นยิงหลายครั้ง แต่เป็นการยิงไกลของ เจฟเฟอร์สัน เลร์มา และ เอเบเรชี่ เอเซ่ แทบไม่ได้มีการต่อบอลที่สร้างปัญหาให้แนวรับปืนใหญ่มากนัก
ส่วนหนึ่งเพราะ พาเลซ มาเยือนในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรโดยเฉพาะการขาด ไมเคิ่ล โอลิเซ่ ที่บาดเจ็บ และ จอร์แดน อายิว ที่ไปเล่นทีมชาติ เกมรุกลดความอันตรายลงไปเยอะ และทำให้ภาระหนักตกอยู่ที่ เอเซ่ คนเดียว
ยิ่งการเปลี่ยนตัวของปู่รอยที่ทยอยถอดตัวหลักออกไปพักยิ่งบ่งบอกว่าเริ่มมองถึงเกมหน้ากับการเล่นในบ้านรับมือทีมบ๊วย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่น่าจะมีโอกาสเก็บ 3 คะแนนมากกว่า
มาร์ติเนลลี่ ลงมาปิดกล่องซัด 2 ลูกในช่วงทดเจ็บ
ขณะที่ อาร์เตต้า ก็ได้โอกาสถอดทั้ง เดแคลน ไรซ์ และ กาเบรียล มากัลเญส ออกไปพักหลังมีอาการเจ็บเล็กน้อย จึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงให้อยู่ในสนามต่อไป
กลุ่มสำรองที่ลงไป เอมิล สมิธ โรว์ ได้โอกาสเต็มๆ ตั้งแต่นาที 69 (ไม่รวมทดเจ็บ) เหมือนเป็นการย้ำเตือนอีกว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของทีม และพร้อมให้โอกาสเสมอ หลังเพิ่งมีข่าว เวสต์แฮม ต้องการดึงตัวไปร่วมทีมในตลาดหน้าหนาวนี้
ช่วงทดเจ็บที่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ลงสำรองมายิงฝังในสไตล์อองรีกลายเป็น "โบนัสแทร็ก" ที่ทำให้ชัยชนะที่แฟนบอลรอคอย เต็มอิ่มมากขึ้น และน่าจะเพิ่มความมั่นใจให้ มาร์ติเนลลี่ ได้ไม่น้อย
อาร์เซน่อล จบเกมด้วยการชนะในดาร์บี้แมตช์ได้ขาดลอยสุดเทียบเท่าที่เคยไล่อัด วิลเบิลดัน 5-0 ในฤดูกาล 1997/98 ที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์
เป็นเกมที่ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ต่างจากหลายนัดก่อนหน้านี้ที่สร้างโอกาสได้มากมายและเล่นดีกว่าเกมล่าสุดนี้ด้วยซ้ำ ทว่ายิงไม่ได้
แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือการกลับมาเก็บ 3 คะแนนที่ทำให้กลับสู่เส้นทางของการลุ้นแชมป์อีกครั้ง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT