จากโรมถึงมอสโก
"โรม่า" คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
พวกเขาไม่ยอมในวันที่แสงสว่างริบหรี่ ว่ากันว่าหลังจบเกมนัดแรกที่คัมป์ นู โอกาสพลิกเข้ารอบของทัพหมาป่าเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ ใครๆ ก็ถือหางบาร์ซ่าจะลอยลำไม่ยาก
แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น จาก 1-0 เป็น 2-0 และลูกโขกเช็ดนิ่มๆ 3-0 ของ คอสตาส มาโนลาส ก็ทำเอาสตาดิโอ โอลิมปิโก้ แทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
โรม่าทำได้ พลิกจากที่แพ้ 1-4 กลับมาเอาคืน 3-0 เขี่ยบาร์เซโลน่าตกรอบอย่างไม่น่าเชื่อด้วยกฎอะเวย์โกล
นี่คือวันที่แฟนบอลหมาป่าเหลือง-แดงจะจดจำไปอีกนาน นักเตะของพวกเขาไล่ขยี้ทีมของ ลิโอเนล เมสซี่ แทบไม่เหลือสภาพ
การเข้ารอบของโรม่ายังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงอีกหลายทีม ไม่ต้องอื่นไกลเลยคือ ยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีกที่เกือบพลิกชะตาตัวเองในนัดสองได้
หากโอกาสของโรม่าเหลือน้อยนิดแล้ว ความเป็นไปได้ที่ม้าลายจะเข้ารอบยิ่งน้อยกว่าเพราะประวัติศาสตร์บอกไว้ว่า ไม่เคยมีทีมใดที่แพ้คาบ้าน 0-3 จะพลิกเข้ารอบได้ เปอร์เซ็นต์เป็น "ศูนย์" นั่นเอง
แต่วีรกรรมของโรม่าก็เป็นยิ่งกว่าผลการแข่งขันฟุตบอลหนึ่งนัด มันคือ "แรงบันดาลใจ" ที่ปลุกพลังและย้ำเตือนว่า อย่ายอมแพ้หากยังมีโอกาส
ผลงานของ โรม่า ปลุกความหวังของหลายทีม
ทัพม้าลายเกือบจะทำในสิ่งที่ยากยิ่งกว่าโรม่าได้สำเร็จหากไม่เพราะจุดโทษดราม่าก่อนจบเกมไม่กี่อึดใจ
มองแบบเป็นกลาง เมห์ดี้ เบนาเตีย ทำฟาวล์ ลูกัส บาสเกซ ค่อนข้างชัดเจน ผู้ตัดสิน 9 จาก 10 คนน่าจะมองตรงกันคือ "จุดโทษ" เพียงแต่พอเกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บ มันก็เลยดูโหดร้ายไปหน่อยสำหรับแฟนบอลเจ้าม้าลาย
วินาทีนั้น ใครๆ ก็เชียร์ให้ยูเวนตุสยิงประตูที่ 4 เพื่อให้สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้เกิดขึ้นจริง หรืออย่างน้อยๆ ไปลุ้นในช่วงต่อเวลาจากสกอร์ 3-0 ที่ทำให้ 2 นัดเท่ากันทุกอย่าง
และใครที่อยากเห็น จานลุยจิ บุฟฟ่อน มีโอกาสเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็จะได้เอาใจช่วยกันต่อในรอบตัดเชือก ไม่ใช่โดนใบแดงและปิดฉากความฝันลงทันที
ตอนนี้ บุฟฟ่อน ยังไม่ได้ประกาศอนาคตว่าจะยังวิ่งตามความฝันอีกฤดูกาลหรือไม่ แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่า เราอาจไม่ได้เห็นยอดนายทวารคนนี้เฝ้าเสาอีกแล้วในฤดูกาลหน้า
อีกนิดเดียวจริงๆ ยูเวนตุส เกือบทำในสิ่งที่ไม่เคยมีทีมใดทำได้มาก่อน แต่บางครั้งฟุตบอลก็ "โหดร้าย" สุดๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โรม่า และ ยูเวนตุส ทำให้เห็นทั้งสำเร็จและเกือบสำเร็จ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งน่ายกย่อง ไม่มีใครสงสัยในความเป็นนักสู้ที่มีอยู่ในหัวใจของทุกคน
จากถ้วยใหญ่มาถึงถ้วยเล็ก ทีมที่เสียท่าก่อนในนัดแรกก็ต่างฮึดกลับมาได้ในนัดสอง และบางทีมก็ดีพอถึงขั้นพลิกเข้ารอบได้เลย
โอลิมปิก มาร์กเซย โดน แอร์เบ ไลป์ซิก เปิดรังเชือด 1-0 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ไล่ยิงคืน 5-2 แซงคว้าตั๋วรอบตัดเชือกอย่างสะใจแฟนบอล
สปอร์ติ้ง ลิสบอน กลับมาเล่นในบ้านหลังโดน แอต.มาดริด อัดเบาะๆ 2-0 ในนัดแรก ก็ยังมีฮึดชนะคืนได้ น่าเสียดายก็เพียงแต่สกอร์น้อยนิด 1-0 แต่กระนั้นก็สู้อย่างสุดใจและมีโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะทำได้มากกว่าหนึ่งประตู หากตราหมีไม่ได้ แยน โอบลัค ช่วยไว้ ป่านนี้ทีมสเปนอาจกระเด็นตกรอบถ้วยยุโรปไปอีกทีมก็ได้
ใครที่ตามข่าวสปอร์ติ้ง ลิสบอน จะรู้ว่าทีมมีปัญหาขัดแย้งภายในเพราะประธานสโมสรออกมาวิจารณ์นักเตะตัวเองผ่านเฟซบุ๊กอย่างรุนแรงหลังความพ่ายแพ้นัดแรกที่รังตราหมี
ตอนแรกท่านประธานขี้หงุดหงิดสั่งแบนนักเตะชุดใหญ่สิบกว่ารายซึ่งล้วนเป็นตัวหลักทั้งสิ้น เกมลีกสุดสัปดาห์เกือบต้องงัดนักเตะชุด บี ลงสนามแก้ขัดอยู่แล้ว เพียงแต่เคลียร์กันนอกรอบได้ทัน
บรรดาคีย์แมนของทีมต่างไม่พอใจกับพฤติกรรมของประธานสโมสร แต่เมื่อภารกิจอยู่ตรงหน้าก็ขอลุยไว้ก่อนเช่นเดียวกับเกมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่ทุกคนยังคงสู้เพื่อ "สโมสร" และ "แฟนบอล"
ส่วนที่กลับมาได้จริงจังเลยคือ ซัลซ์บวร์ก ซึ่งนัดแรกโดน ลาซิโอ จัดมา 4-2 สกอร์อาจห่างกันแค่ 2 ลูก แต่ศักยภาพของทีมจากออสเตรียก็ยังดูเป็นรองตัวแทนจากอิตาลีอยู่พอตัวแม้ได้กลับมาเล่นในบ้านก็ตาม
ซัลซ์บวร์ก พลิกชะตาตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม
ทว่า ซัลซ์บวร์ก ก็สู้ในแบบโรม่า, ยูเวนตุส, มาร์กเซย และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน สู้ เพราะหากยังมีเวลาและโอกาสก็ไม่มีทางโยนผ้าขาวง่ายๆ
ลาซิโอ เริ่มต้นดีกว่าด้วยประตูนำ พร้อมโยนภารกิจสุดหินให้เจ้าถิ่น แต่พอซัลซ์บวร์กได้ประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนเข้าสู่ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย โมเมนตัมก็เริ่มเปลี่ยน
ทีมกระทิงแดงแห่งออสเตรีย ปล่อยหมัดรัวชุดใหญ่ด้วยการกด 3 ประตูใน 4 นาที จากสกอร์ 1-1 อยู่ดีๆ ในนาที 72 กลายเป็นนำลาซิโอขาดลอย 4-1 เมื่อถึงนาที 76
เจอเข้าไปแบบนี้ ลาซิโอ ถึงกับช็อกตาตั้ง และกลายเป็นมวยที่เหวี่ยงหมัดสะเปะสะปะ เหมือนออกอาวุธเยอะแต่ไม่เข้าจุดโฟกัส
ซัลซ์บวร์ก จึงกลายเป็นม้ามืดของยูโรปา ลีก ที่ทะลุรอบตัดเชือกซึ่งถึงตรงนี้ก็คงไม่มีใครกล้าประมาทพวกเขาได้อีกแล้วโดยเฉพาะในบ้านที่ไม่แพ้เลยในการดวล โอลิมปิก มาร์กเซย, เรอัล โซเซียดาด, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลาซิโอ แถมเป็นการชนะถึง 3 นัดอีกต่างหาก
และอีกทีมที่เกือบเดินตามรอย โรม่า แบบถอดสกอร์กันมาคือ ซีเอสเคเอ มอสโก
นัดแรกที่กรุงลอนดอน อาร์เซน่อล เอาชนะได้ก่อน 4-1 ซึ่งเป็นสกอร์เดียวกับที่ บาร์ซ่า ไล่อัด โรม่า
ทว่าเกมที่กรุงมอสโกก็แทบถอดแบบมหาศึกกรุงโรมเมื่อเจ้าถิ่นเป็นฝ่ายรุกเข้าใส่ผู้มาเยือนอย่างต่อเนื่อง เล่นเหมือนคนละทีมจากนัดแรก ทุกจังหวะเต็มไปด้วยความมั่นใจ และไม่มีคำว่าเกรงกลัว
วินาทีที่ ซีเอสเคเอ มอสโก ออกนำอาร์เซน่อล 2-0 และเกือบได้ลูกสามติดๆ กันจากฟรีคิกของ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน ภาพความปราชัยของบาร์เซโลน่าผุดขึ้นในหัวแฟนบอลปืนใหญ่อย่างช่วยไม่ได้
ไม่แปลกหากจะเกิดขึ้นกับอาร์เซน่อล
ทว่า อาร์แซน เวนเกอร์ ก็มีฮีโร่ที่ชื่อ แดนนี่ เวลเบ็ค ผู้โผล่มาถูกที่ถูกเวลาด้วยการทำประตูตีไข่แตกที่สำคัญสุดๆ และทำให้โมเมนตัมเปลี่ยนในทันที ปืนใหญ่กลับมาคุมสถานการณ์ไว้ได้ก่อนตามตีเสมอจาก อารอน แรมซี่ย์
ถือว่ารอดตัวไปไม่ซ้ำรอยบาร์ซ่า แต่ก็น่าเสียดายแทนซีเอสเคเอที่เกือบทำให้มอสโกเป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำของแฟนบอล
จากหลายคู่หลายสนามที่ทีมรองต่างมีลูกฮึดก็คงพอจะเรียกได้ว่าล้วนได้แรงกระตุ้นชั้นดีจากผลงานมาสเตอร์พีซของโรม่า
รอบตัดเชือกทั้งสองถ้วยจับสลากกันออกมาแล้วซึ่งก็เชื่อได้เลยว่า เกมฟุตบอล 2 นัดแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกอย่างโดยเฉพาะในนัด 2
เดอะ ค็อป ที่ตีอกด้วยความมั่นใจว่าผลจับสลากเป็นใจได้เจอโรม่า อาจต้องคิดใหม่
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT