คนใจบอดมักมองไม่เห็นความสวยงาม
ร้อยทั้งร้อยคงตอบว่า "มี" เพราะเป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ เช่นเดียวกับ เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง สุข ทุกข์ เศร้า ฯลฯ
แต่ทำไมในบางครั้งกลับมีคนยกมือ "ห้ามทำ"
แน่นอนว่ากำลังพูดถึงประเด็นดราม่าล่าสุดหลังจบเกมที่ อาร์เซน่อล เปิดรังเอาชนะ ลิเวอร์พูล เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อาร์เซน่อล เก็บชัยชนะสุดสำคัญเอาไว้ได้ พร้อมกับบีบช่องว่างจาก ลิเวอร์พูล เหลือ 2 คะแนน เส้นทางการลุ้นแชมป์กลับมามีความหวังอีกครั้ง
การเล่นในสนามไม่ได้มีใครข้องใจกันมากนัก ปืนใหญ่ทำผลงานได้ดีกว่าและสมควรเป็นผู้ชนะ ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ และแฟนหงส์แดงส่วนใหญ่ก็ยอมรับในความพ่ายแพ้
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นคือเหตุการณ์หลังจบเกมและการให้สัมภาษณ์ของหลายคนที่เกี่ยวข้อง
อาร์เซน่อล ดีใจและฉลองกันเต็มที่ไล่ตั้งแต่วินาทีที่ เลอันโดร ทรอสซาร์ หลุดไปซัดประตูปิดท้ายช่วงทดเจ็บ ต่อเนื่องไปอีกหลายนาทีหลังจบเกม
มิเกล อาร์เตต้า วิ่งพล่านข้างสนามอย่างบ้าคลั่ง แฟนบอลเฮกันสุดเหวี่ยงเช่นเดียวกับนักเตะ และหนึ่งในเหตุการณ์ที่นำไปสู่ดราม่าคือ มาร์ติน โอเดการ์ด รับบทเป็นช่างภาพถือกล้องถ่ายรูปให้ช่างภาพสโมสรที่ชื่อ สจ๊วร์ต แม็คฟาร์เลน
มันไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไรเลยหากไม่เพราะ เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลัง ลิเวอร์พูล ที่ทำหน้าที่คอมเมนเตเตอร์ให้กับ สกาย สปอร์ตส์ แสดงความเห็นแบบไม่สบอารมณ์ออกมา
"ทำไมนายไม่เดินเข้าอุโมงค์ (ห้องแต่งตัว) ไปซะ! พวกนายชนะเกมสำคัญ ได้สามแต้มแล้ว และกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้ง ก็แค่เดินกลับเข้าอุโมงค์ไปได้แล้ว ผมพูดจริงๆ นะ"
ขณะที่ แกรี่ เนวิลล์ อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ร่วมวิเคราะห์เกมกับ "คาร์ร่า" ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
"การฉลองหลังเกมนี้ของ อาร์เซน่อล ไม่ใช่การฉลองของทีมที่คิดว่าจะจบด้วยการเป็นแชมป์ จากสิ่งที่ผมเห็นคือพวกเขาความโล่งใจที่ไม่โดนทิ้งห่าง 8 คะแนน"
"ผมก้าวข้ามความคิดที่จะวิจารณ์เรื่องการฉลองของทีมต่างๆ ไปแล้ว แต่วันนี้ผมมองง่า อาร์เซน่อล ยังคงแสดงความไม่เป็นผู้ใหญ่ออกมา"
เช่นเดียวกับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อีกหนึ่งอดีตแข้งผีที่พุ่งเป้าการฉลองดีใจของ มิเกล อาร์เตต้า "ผมนึกว่า อาร์เซน่อล ได้แชมป์ลีกไปแล้ว"
นี่คือความเห็นหลักๆ ของกูรูหลายคนที่มองว่าการดีใจและฉลองหลังเกมของ อาร์เซน่อล "ไม่เข้าท่า"
ทางฝั่งปืนใหญ่ย่อมไม่เห็นด้วยกับความเห็นเหล่านี้ซึ่งนอกจาก เอียน ไรท์ อดีตกองหน้าของทีมที่ออกมาปกป้องสโมสร ขณะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ออกมาตอบโต้เช่นกัน
"ผมคิดว่าทุกคนที่รักฟุตบอล คนที่เข้าใจฟุตบอลเป็นอย่างดี จะรู้ว่าชัยชนะเกมนี้มีความหมายมากเพียงใด แล้วถ้าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ฉลองหลังคว้าชัยชนะได้ แล้วจะให้ไปฉลองได้เมื่อไหร่กัน?"
"เราพอใจกับชัยชนะ และเราจะยังคงถ่อมตัวต่อไป เราจะทำงานกันหนักเหมือนเดิม และเตรียมพร้อมสำหรับเกมต่อไป"
"คุณต้องมีความสุขอยู่แล้วเมื่อทีมคว้าชัยชนะได้ นี่เป็นเกมใหญ่ เพราะถ้าเราแพ้จะโดนทิ้งห่างไปอีก 8 คะแนน สิ่งต่างๆ ก็จะยากขึ้นไปอีก แต่เราก็ทำได้ แฟนๆ ก็น่าทึ่ง ผมคิดว่าเราทุกคนทำสิ่งนี้ไปด้วยกัน คุณคงเห็นว่าทุกคนผูกพันกันขนาดไหนทั้งนักเตะ ทีมงาน แฟนบอล มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็นสิ่งนี้"
"เขา (สจ๊วร์ต) เป็นแฟนตัวยงของ อาร์เซน่อล เป็นหัวใจสำคัญของสโมสร เขาอยู่ที่นี่มานานมาก และผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับเขาที่จะได้เก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้เช่นกัน" กัปตันโอเดการ์ด ร่ายยาว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ อาร์เซน่อล ตลอด 3-4 ปีในยุค มิเกล อาร์เตต้า เป็นอย่างที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ว่าเอาไว้จริงๆ ทุกคนที่เกี่่ยวข้องกับสโมสรมีความผูกพันกันอย่างมาก
อาร์เซน่อล กลับมามีความหวัง กลับมามีลุ้นแชมป์อีกครั้ง มันไม่ใช่แค่เรื่องของนักเตะสามารถเอาชนะในสนามได้ แต่มันมาจากทุกคน ย้ำว่า "ทุกคน" ต่างพร้อมใจเดินหน้าไปด้วยกัน
ผู้จัดการทีม ผู้บริหาร นักเตะ สตาฟฟ์ทั้้งระดับบนจนถึงระดับล่าง และแน่นอนแฟนบอล ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากยิ่งขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา
ทุกคนสำคัญหมดในการมีส่วนผลักดันให้สโมสรได้กลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น ดังนั้นทุกช่วงเวลาที่ดี ช่วงเวลาแห่งความทรงจำก็ต้องมีร่วมกันให้ได้มากที่สุด
สำหรับ สจ๊วร์ต แม็คฟาร์เลน เขาไม่ได้เป็นเพียงช่างภาพ แต่เป็น "หัวใจ" ของสโมสรแบบที่ โอดการ์ด นิยามเอาไว้จริงๆ เพราะนี่คือสายเลือดปืนขนาดแท้ที่ทำงานให้สโมสรมาตั้งแต่ปี 1991 ผ่านทุกโมเมนต์สำคัญตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
เขาคือคนที่คอยบันทึก คอยเก็บความทรงจำให้กับนักเตะคนแล้วคนเล่า แฟนบอลรุ่นแล้วรุ่นแล้ว โมเมนต์ที่ดีที่สุดอย่างวันฉลองแชมป์ไร้พ่าย หรือจะเป็นช่วงเวลายากลำบากที่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
ด้วยความที่อยู่หลังเลนส์ เขาจึงไม่ได้มารูปตัวเองมากนัก โอเดการ์ด จึงขอทำหน้าที่เป็นช่างภาพเพื่อเก็บภาพให้กับคุณลุงสจ๊วร์ต
มันไม่ใช่การแค่ถือกล้องกดชัตเตอร์ แต่มันคือการแบ่งปันช่วงเวลาที่ดีให้เก็บเป็นความทรงจำเอาไว้ และเป็นสิ่งสะท้อนความเป็น อาร์เซน่อล ในตอนนี้ได้อีกหลายอย่าง
นักเตะระดับกัปตันทีมไม่ต้องมาสนใจช่างภาพแก่ๆ ก็ได้ จบเกมก็แค่เดินเข้าห้องแต่งตัวอย่างที่มีคนบอก แต่ โอเดการ์ด ไม่มองแบบนั้น เขามองว่าทุกคนมีความสำคัญตามบทบาทหน้าที่ตัวเอง มีคุณค่าในตัวเอง และเมื่อคุณทุ่มเทเพื่อสโมสรแห่งนี้ก็ย่อมมีคนมองเห็น
มันสะท้อนถึงความผูกพัน ความรักใคร่ที่มีภายในสโมสร และก็เป็นความหวังดีต่อคนรอบข้างซึ่งเป็นสิ่งจิตใจมนุษย์ทุกคนควรมี
ช่วงเวลาที่ดีไม่ได้หมายถึงความสำเร็จที่จับต้องได้ หรือต้องเป็นแชมป์เท่านั้น ความสวยงาม ความทรงจำที่ดีระหว่างทางก่อนจะถึงปลายทาง ก็ควรค่าต่อการชื่นชมเช่นกัน
ถ้าเอาตำแหน่งแชมป์เป็นตัวชี้่วัด เป็นหมุดหมายว่าอันนี้แหละที่ต้องฉลอง คนอย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็คงมีแต่ความขมขืนตลอดชีวิตนักเตะ
แกรี่ เนวิลล์ กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ชี้นิ้วบอกคนอื่นได้ว่า "ควร" หรือ "ไม่ควร" ทีมที่จะเป็นแชมป์ต้องทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนั้น แต่ทำไมจนป่านนี้อดีตต้นสังกัดอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกเลยมาเกินสิบปีแล้วนับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือ
การเคยเป็นนักเตะมาก่อนยิ่งควรต้องรู้ว่าชัยชนะบางนัดมันมีความหมายและคู่ควรต่อการฉลองเพราะกว่าจะได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่าย และในอีกมุมหนึ่งการที่ อาร์เซน่อล ดีใจเต็มที่หลังเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ก็สะท้อนว่าปืนใหญ่มองหงส์แดงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง เป็นตัวชี้วัดคุณภาพตัวเอง ไม่ใช่ทีมดาดๆ ที่ไม่เห็นต้องดีใจหากชนะได้
มาร์ติน โอเดการ์ด กับการเก็บภาพให้กับ สจ๊วร์ต แม็คฟาร์เลน คือโมเมนต์ที่น่ารัก ดีงามต่อใจ และสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น
มีแต่คนใจบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นความสวยงาม
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT