:::     :::

ดุดัน สวยงาม สมบูรณ์แบบ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างสุดอีกครั้งด้วยการบุกถล่ม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ครึ่งโหล พร้อมทำสถิติชนะในลีก 7 นัดติดต่อกัน

มิเกล อาร์เตต้า พาทีมลงสนามหลังจากสองทีมนำ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าชัยชนะไปได้ก่อน ดังนั้นเป้าหมายเดียวในการบุกรังบรามอล เลน คือต้องชนะกลับออกมาให้ได้

อาร์เตต้า ไม่เปลี่ยนชุดตัวจริงจากนัดล่าสุดที่ชนะ นิวคาสเซิ่ล 4-1 และในลิสต์สำรองได้ โธมัส ปาร์เตย์ กลับมามีชื่อครั้งแรกนับตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว

เทียบผลงานก่อนลงสนามแล้ว อาร์เซน่อล เหนือกว่ามากจาการชนะมา 6 นัดติดในลีก ชณะที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด แพ้ถึง 8 จาก 11 นัดหลังสุด และชนะได้เพียงนัดเดียว 

อันดับในตารางต่างกันสุดขั้ว "ปืนใหญ่ เกาะกลุ่มลุ้นแชมป์ แต่ทัพ "ดาบคู่" จมบ๊วยของตาราง และเป็นทีมที่เสียประตูมากสุดในลีก

คริส ไวล์เดอร์ กุนซือ เชฟฯ ยูไนเต็ด เลือกปรับมาเล่นแบ็กโฟร์โดยถ่าง ออสตัน ทรัสตี้ เด็กเก่า อาร์เซน่อล ไปเล่นแบ็กซ้ายเพื่อรับมือกับ บูคาโย่ ซาก้า

แต่การดวลกันฝั่งนี้กลายเป็นจุดอ่อนของ เชฟฯ ยูไนเต็ด เนื่องจาก ซาก้า เล่นงาน ทรัสตี้ ได้ตั้งแต่เริ่มเกมที่หลุดไปซัดชนคาน กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ซ้ำดาบสองติดตัวเคลียร์บนเส้น

อาร์เซน่อล หาช่องเจาะได้อย่างไม่ลำบาก และรอประตูแรกไม่นานแค่ 4 นาทีเศษจากจังหวะ เดแคลน ไรซ์ เติมเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนตวัดกลับมาหน้าประตูให้ มาร์ติน โอเดการ์ด สังหารด้วยซ้ายไม่พลาด


ซาก้า เล่นงาน ทรัสตี้ ตั้งแต่เริ่มเกม

ด้วยฟอร์มของปืนใหญ่ที่กำลังร้อนแรงในปี 2024 การได้ประตูเร็วออกนำทีมที่เกมรับแย่สุด ไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรส์แต่อย่างใด

ประตูที่ 2 และ 3 ไหลมาราวเปิดก๊อกน้ำจากการโจมตีด้านข้างเริ่มจากฝั่งขวาที่ ซาก้า เผาเครื่อง ทรัสตี้ อีกครั้งก่อนเปิดยัดโดนขา เจย์เดน โบเกิ้ล เปลี่ยนทางเข้าประตู ต่อด้วยฝั่งซ้าย มาร์ติเนลลี่ ประสานงานกับ ยาคุบ คีวิออร์ ก่อนจบที่ มาร์ตี้ ซัดแฉลบเบียดเสาเข้าไป

เกมแทบจบตั้งแต่ 15 นาทีแรกที่ อาร์เซน่อล นำห่าง 3-0 

ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่า ความดุดัน ความมั่นใจในการเล่น ไม่มีใครคาดคิดว่า 3 คะแนนจะหลุดมือทีมเยือนจากลอนดอนเหนือไปได้ ขณะแฟนบอลเจ้าถิ่นบางส่วนเริ่มถอดใจเดินออกสนามเหมือนรู้ชะตา

ไวล์เดอร์ นิ่งเฉยไม่ได้กับเกมรับที่โดนเจาะเป็นว่าเล่น เขาตัดสินใจปรับระบบเป็นห้ากองหลังด้วยการถอดกองกลาง โอลิเวอร์ นอร์วู้ด ออก แล้วส่ง เบน ออสบอร์น เล่นแบ็กซ้าย ทรัสตี้ จึงได้หุบจากเข้าในเป็นหนึ่งในสามเซนเตอร์

สถานการณ์ของเจ้าถิ่นไม่ได้ดีขึ้นเพราะหลังปรับแท็กติกได้เพียง 8 นาทีก็มาเสียประตูเพิ่ม กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ โดนเหนี่ยวล้มแต่มี ไค ฮาแวร์ตซ์ เก็บตกลากเข้าเขตโทษเข้าไปซัดด้วยซ้ายเสียบเสาไกลเด็ดขาด

ส่วนเกมรับฝั่งซ้ายที่เหมือนจะแน่นขึ้นหลังมี ออสบอร์น ลงมาช่วย ทรัสตี้ ก็โดนทะลวงอีกเหมือนเคย ซาก้า ลุยถึงสุดเส้นก่อนปาดให้ เดแคลน ไรซ์ ตวัดยิงไม่ต่างจากลูกซ้อม

เป็นครึ่งแรกที่ "คนละชั้น" อย่างแท้จริง นอกจากสกอร์ที่นำห่าง 5-0 แล้ว การครองบอลของปืนใหญ่ก็มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสยิง 16 ครั้ง เข้ากรอบ 7 ครั้ง 


ไค ฮาแวร์ตซ์ ทำประตูอย่างมั่นใจในช่วงนี้

เพียงแค่ 45 นาทีผ่านไป สิ่งที่แฟนบอลดาบคู่แอบหวั่นก่อนเกมก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อทีมเสียประตูในบ้าน 5 ประตูเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันจากทุกรายการซึ่งเริ่มตั้งแต่เกมเอฟอ คัพ ที่แพ้ ไบรท์ตัน 2-5 ต่อด้วยแพ้ แอสตัน วิลล่า และ ไบรท์ตัน ในลีกสกอร์เท่ากัน 0-5

ครึ่งหลัง ไวลเดอร์ จึงเปลี่ยน 3 คนรวดที่เป็นกองกลางและกองหน้า โดยที่ยึดแนวรับเดิมเอาไว้ ส่วน อาร์เตต้า ก็ส่ง ฟาบิโอ วิเอร่า ลงแทน บูคาโย่ ซาก้า ก่อนมีการเปิดเผยหลังเกมว่าเจ้าตัวมีอาการป่วย 

เกมรับของดาบคู่ดูมีสมาธิและยืนตำแหน่งกันได้ดีขึ้นในครึ่งหลัง ตัวใหม่ที่ลงมาวิ่งไล่บอลช่วยชะลอเกมรุกของปืนใหญ่

อาร์เซน่อล ยังเป็นฝ่ายครองบอลเหมือนเดิม แต่จังหวะเข้าทำไม่ได้ไหลมาเทมาเหมือนครึ่งแรก และหลังจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ได้รับบาดเจ็บ อาร์เตต้า ก็ถือโอกาสเปลี่ยนทีมอีกรอบให้กลุ่มผู้เล่นที่เพิ่งหายเจ็บได้ยืดเส้นยืดสาย

กาเบรียล เชซุส ได้ลงเล่นนัดแรกในรอบ 35 วัน ขณะที่ โธมัส ปาร์เตย์ ก็คืนสนามรอบ 147 วัน หรือนับตั้งแต่เกมเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 

เชฟฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสได้ต่อบอลกันบ้าง ไม่ใช่โดนบี้เข้ามุมฝ่ายเดียว แต่พอขยับเลยกลางสนามขึ้นมาก็ไม่สามารถไปจนถึงการลุ้นยิงได้ อาร์เซน่อล เก็บกินเรียบ แย่งบอลคืนอย่างรวดเร็ว

ทีมปืนใหญ่ไม่ได้เร่งจังหวะตัวเองมากนักในครึ่งหลัง เคาะบอลตามช่องที่มี เน้นถ่ายบอลไปมา จากนั้นก็ถอดตัวหลักอีกรายอย่าง เดแคลน ไรซ์ ออกไปพัก


ซาลีบา ดันเกมขึ้นมาจ่ายบอลจนทำสถิติ

การถูกเปลี่ยนออกไปของ ซาก้า และ มาร์ติเนลลี่ รวมถึง จอร์จินโญ่ ที่ตักบอลข้ามไลน์สร้างโอกาสได้ดีซึ่งรวมถึงจุดเริ่มต้นประตูปิดท้ายของ เบน ไวท์ ทำให้เกมรุกของ อาร์เซน่อล ในช่วง 25 นาทีสุดท้ายไม่ได้ดุดันในทุกจังหวะการขึ้่นบอล และเน้นความชัวร์เพื่อรักษาคลีนชีตมากกว่า

กาเบรียล มากัลเญส และ วิลเลียม ซาลีบา สามารถดันสูงขึ้นมาจ่ายบอลจนแทบจะเป็นกองกลาง โดยรายของ ซาลีบา ทำสถิติสัมผัสบอลมากถึง 180 ครั้ง และผ่านบอลสำเร็จ 169 ครั้ง เป็นสถิติใหม่ของนักเตะ อาร์เซน่อล ต่อการเล่นหนึ่งนัด

แม้ครึ่งหลังมีเพียงประตูเดียว แต่ก็เป็นการเล่นที่ อาร์เซน่อล ควบคุมทุกอย่างได้ไม่ต่างจากครึ่งแรก และจบเกมด้วยชัยชนะที่สวยงาม

ช่องว่างกับจ่าฝูง ลิเวอร์พูล และแชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ เหลือ 2 และ 1 คะแนนตามลำดับอีกครั้ง ส่วนประตูได้-เสีย บวกเพิ่มเน้นๆ 6 ประตู เป็น +45 ดีกว่าทุกทีมในลีก และได้คลีนชีตนัดที่ 11 ของฤดูกาล

อาร์เซน่อล กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่ชนะเกมลีกนอกบ้าน 3 นัดติด และยิงอย่างน้อยนัดละ 5 ประตู หลังก่อนหน้านี้ก็ไล่อัด เวสต์แฮม 6-0 และบุกยำ เบิร์นลีย์ 5-0 

สถิติดีงามต่างๆ เกิดขึ้นมากมายซึ่งล้วนสะท้อนถึงผลงานอันสุดยอดของทีมนับตั้งแต่เปลี่ยนปีปฏิทินเป็น 2024 แล้วเดินหน้าอย่างดุดัน ยิงประตูกระจาย และพุ่งชนทุกอย่างที่ขวางหน้า 


อาร์เซน่อล ชนะ 7 นัดติดต่อกันในลีก

นอกจากผลการแข่งขันแล้ว การเล่นก็ได้ใจแฟนบอล เรียกได้ว่ามีทั้งประสิทธิภาพและความสวยงามในเวลาเดียวกัน

อาร์เตต้า ยกย่องลูกทีมว่า "ผมชอบวิธีที่ทีมเล่นด้วยคุณภาพที่แสดงออกมา มีความดุดันทั้งในเวลาครองบอลและไม่ได้ครองบอล เรามีความสุขมากกับวิธีการเล่นของเรา รวมถึงการเก็บคลีนชีตได้ด้วย

"เราต้องทำในสิ่งที่กำลังทำต่อไป และตอนนี้้ก็เป็นเรื่องของการรักษาโมเมนตัมให้ได้"

ใช่แล้วครับ การรักษาโมเมนตัมและสิ่งที่กำลังทำได้ดีเอาไว้ต่อไปคือโจทย์สำคัญของ อาร์เซน่อล ในการยืนระยะลุ้นแชมป์ไปจนถึงที่สุด



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด