:::     :::

ขาดกัปตัน ไม่ขาดใจ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถึงตรงนี้ อาร์เซน่อล ลงสนามโดยไม่มีกัปตันทีม มาร์ติน โอเดการ์ด 5 นัดติดต่อกันแล้ว ก่อนลงเล่นนัดต่อไปดวล ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันอังคารนี้

โอเดการ์ด โชคร้ายบาดเจ็บข้อเท้าอย่างหนักจากการเล่นให้ทีมชาตินอร์เวย์ในเกมพบทีมชาติออสเตรีย ศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อวันที่ 9 กันยายน ทำให้ต้องพักยาวจนถึงปัจจุบัน

ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ อาร์เตต้า ก็ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่ากัปตันทีมคนขยันจะกลับมาลงสนามเมื่อไหร่ 

ช่วงที่ผ่านมา การขาดหายไปของ โอเดการ์ด กระทบต่อทีมไม่น้อยเพราะนอกจากเป็นกัปตันทีมแล้ว ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สำคัญสุดของทีมในทุกมิติการเล่น

โอเดการ์ด เป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่คอยขับเคลื่อนให้ทีมเดินหน้า มีส่วนร่วมในแทบทุกจังหวะการเล่นเกมรุก เป็นตัวคุมจังหวะการเล่น "เร็ว" หรือ "ช้า" ให้กับทีม

สถิติการสร้างสรรค์โอกาสของ โอเดการ์ด อยู่ในอันดับต้นๆ ของทีม และของลีก การจ่ายบอลของเขาช่วยเซตเกมรุกให้ไหลลื่น หรือไม่ก็จ่ายให้เพื่อนได้ยิงทันที 

ขณะที่เกมรับก็ช่วยทีมอย่างขยันขันแข็ง วิ่งได้ตลอด 90 นาทีไม่มีหมด แบ่งเบาภาระของแนวรับได้อย่างมาก

เรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในการเล่นของทีมอย่างแท้จริง และแต่ละนัดก็มีตัวเลขการสัมผัสบอลที่สูงมาก 

ในนัดแรกที่ไม่มีกัปตันทีมชาตินอร์เวย์ มิเกล อาร์เตต้า เลือกให้ โธมัส ปาร์เตย์ จับคู่กับ จอร์จินโญ่ เพราะวันนั้นไม่มี เดแคลน ไรซ์ ตัวสำคัญแดนกลางอีกรายเนื่องจากติดโทษแบน


โอเดการ์ด เจ็บจากทีมชาติ

ในรายชื่อตัวจริงมี เลอันโดร ทรอสซาร์ ที่หากเป็นระบบเดิม 4-3-3 เขาจะถอยไปเล่นแดนกลางอีกราย ทว่าการเล่นจริงในสนามเหมือนยืนคู่กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ในแดนหน้ามากกว่า

อาร์เซน่อล ผ่านบททดสอบแรกได้สำเร็จด้วยการบุกชนะคู่ปรับตลอดกาล 1-0 จากประตูชัยของ กาเบรียล มากัลเญซ  

ทีมของ อาร์เตต้า ครองบอลน้อยกว่าซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในการไปเยือน สเปอร์ส เพราะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีโอกาสลุ้นยิงน้อยกว่าเพียง 7 ครั้งต่อ 15 ครั้ง ทว่าทีเด็ดเซตพีซในลูกเตะมุมก็ทำให้ทีมควัก 3 แต้มกลับบ้านสำเร็จ

ต่อมาประเดิมเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ด้วยการบุกรัง อตาลันต้า ทีมแกร่งของกัลโช่เซเรีย อา ที่ฤดูกาลที่แล้วมีดีกรีเป็นแชมป์ยูโรปา ลีก ด้วยการเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น ถึง 3-0 และระหว่างทางก็บุกยิง ลิเวอร์พูล ถึงแอนฟิลด์ในสกอร์เดียวกัน

แดนกลางได้ ไรซ์ กลับมาเป็นตัวจริงเล่นร่วมกับ ปาร์เตย์ อีกครั้ง และมี ไค ฮาแวร์ตซ์ ขยับมาเล่นในตำแหน่งของ โอเดการ์ด ในระบบ 4-3-3 ที่คุ้นเคย ขณะที่เกมรุกส่ง กาเบรียล เชซุส เล่นหน้าเป้า ขนาบข้างด้วย บูคาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ 

ปืนใหญ่ครองบอลน้อยกว่าคู่แข่งอีกครั้งซึ่งส่วนนอกจากการทียังไม่มี โอเดการ์ด คอยเก็บคอยไล่บอลแล้ว ก็ต้องให้เครดิต อตาลันต้า ด้วยเพราะเล่นได้ดีมาก และน่าจะเป็นฝ่ายชนะจากจุดโทษ ทว่า เดวิด ราย่า โชว์ซูเปอร์เซฟสองครั้งซ้อนปฏิเสธลูกยิงและตามลูกโหม่งซ้ำของ มาเตโอ เรเตกี 

ผลเสมอไม่ใช่สิ่งดีสุด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเพราะเป็นเกมนอกบ้านที่ยากอีกเกม แต่ยังเก็บคลีนชีตรักษาสถิติไร้พ่ายต่อไป

ส่วนงานยากสุดในฤดูกาลเป็นเกมลีกนัดเยือน "แชมป์เก่า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 


เพื่อนร่วมทีมพร้อมแบกภาระแทน

อาร์เซน่อล ปรับเล่น 4-4-2 แบบชัดเจนด้วยการให้ ทรอสซาร์ เล่นหน้าคู่กับ ฮาแวร์ตซ์ และมี ปาร์เตย์ จับคู่กับ ไรซ์ ตรงกลาง ส่วน ซาก้า กับ มาร์ติเนลลี่ ถอยมาเป็นปีกแบบดั้งเดิมคอยสกรีนเกมรุกริมเส้นของซิตี้ก่อนถึงแบ็กสองข้าง

เกมนี้พลิกไปพลิกมาหลายตลบและมีเหตุการณ์ระหว่างเกมมากมาย จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ทรอสซาร์ ได้ใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงในช่วงทดเจ็บครึ่งแรกซึ่ง อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายนำอยู่ 2-1

ครึ่งหลัง อาร์เตต้า จึงปรับการเล่นเป็นเกมรับเต็มรูปแบบด้วยการถอด ซาก้า ออกจากสนาม และส่ง เบน ไวท์ ลงไปยืนแนวรับเพิ่ม กลายเป็นระบบ 5-4-0 

ฮาแวร์ตซ์ ต้องถอยมาช่วยไล่บอลโดยยืนข้างหน้า เบน ไวท์ ที่รับผิดชอบพื้นที่ขวาสุด ส่วน เจอร์เรียน ทิมเบอร์ ที่ออกสตาร์ตด้วยการเป็นแบ็กขวา หุบเข้าไปยืนเป็นหนึ่งในสามเซนเตอร์

อาร์เซน่อล เปิดตำรารับทุกรูปแบบ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้พับสนามบุกฝ่ายเดียว บางช่วงบางตอนครองบอลทะลุ 95 เปอร์เซ็นต์ 

ตลอดครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ได้ลุ้นยิงถึง 29 ครั้ง แต่ยิงทิ้งยิงขว้างไปเองถึง 19 ครั้ง เกมรับ อาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ เดวิด ราย่า ก็เหนียบหนึบไว้ใจได้เสมอ

สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ตามตีเสมอหวุดหวิดในช่วงทดเจ็บจาก จอห์น สโตนส์ อาร์เซ่น่อล จึงพลาดชัยชนะอย่างน่าเสียดาย ซึ่งหากรักษาสกอร์ 2-1 เอาไว้ได้จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ถูกพูดถึงไปอีกนานกับการลงเล่นเพียง 10 คน แต่บุกชนะซิตี้ได้ 

แม้ตอนจบน่าผิดหวังที่พลาด 3 คะแนน แต่หากพิจารณาในหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกมกับการไม่มีกัปตันทีม โอเดการ์ด และระหว่างเกมที่้ต้องเสียผู้เล่นจากใบแดงอีกคน รวมไปถึงสถิติเก่าๆ ในการไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่ไม่ชนะมา 10 ฤดูกาลติดต่อกัน และส่วนใหญ่แพ้ยับกลับออกมา การได้ผลเสมอล่าสุดจึงถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว


อาร์เตต้า พาทีมเอาตัวรอดได้ดี

อาร์เซน่อล เอาตัวรอดได้ดีใน 3 นัดแรกที่ไม่มี โอเดการ์ด และเป็นการเล่นนอกบ้าน 3 นัดติดในหนึ่งสัปดาห์อีกด้วย 

ส่วนนัดที่ 4 ที่ไร้กัปตัน เป็นเกมคาราบาว คัพ ในบ้านพบ โบลตัน ซึ่งปกติต้องเปลี่ยนทีมหลายตำแหน่งอยู่แล้ว และยิ่งผ่านช่วงสัปดาห์หฤโหดมาด้วยยิ่งต้องพักตัวหลัก

จอร์จินโญ่ จึงได้เล่นแทน ปาร์เตย์ ส่วน ไรซ์ ที่เล่น 2 จาก 3 นัดหลังเบรกทีมชาติ ถูกเข็นลงช่วยตรงกลางอีกนัด ขณะที่ตำแหน่งของ โอเดการ์ด เป็นโอกาสตัวจริงครั้งแรกในชีวิตของ อีธาน วาเนรี่ ดาวรุ่งวัย 17 ปี 

อาร์เซน่อล ลงเล่นด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น และเก็บชัยชนะได้สวยงาม 5-1 ตัวแทนของ โอเดการ์ด อย่าง วาเนรี่ โดดเด่นอย่างมากทำไป 2 ประตู ส่วนดาวรุ่งอีกหลายคนที่ได้สัมผัสเกมก็มีช่วงเวลาแห่งความทรงจำเช่นกันไม่ว่าจะเป็น แจ็ค พอร์เตอร์ (16 ปี), จอช นิโคลส์ (18 ปี), ไมลส์ ลูอิส-สเกลลี่ (17 ปี), มัลดินี่ คาร์คูรี่ (19 ปี) และ อิสเมอัล คาเบีย (18 ปี)

อาร์เตต้า กลับมาใช้งานชุดดีสุดอีกครั้งเกมลีกเปิดรังต้อนรับ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยใช้ 11 ตัวจริงชุดเดียวกับวันบุกเสมอ แมนฯ ซิตี้ เช่นเดียวกับระบบ 4-2-2

ปืนใหญ่เหนือกว่าทุกรูปแบบในครึ่งแรกที่นำ 2-0 แต่ครึ่งหลัง ทัพจิ้งจอกมีฮึดตีเสมอ 2-2 จนทำท่าว่าจะแบ่งแต้มกลับออกไปได้อยู่แล้ว แต่ในช่วงทดเจ็บ เลอันโดร ทรอสซาร์ ก็มายิงแฉลบเปลี่ยนทางเข้าประตู ก่อนที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ จะปิดท้ายชนะไป 4-2

อาร์เตต้า พาทีมเอาตัวรอดได้น่าพอใจสุดๆ ใน 5 นัดนี้ที่เป็นการชนะ 3 นัด ส่วนผลเสมออีก 2 นัดก็เป็นการเสมอนอกบ้านที่ อตาลันต้า และ แมนฯ ซิตี้ 


อีธาน วาเนรี่ ดาวรุ่งที่เริ่มจะฉายแสงมากขึ้น

แท็กติกการเล่นไม่ยึดติดกับ 4-3-3 ที่ใช้มาตลอดช่วงหลัง แต่ปรับตามหน้างานและสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เจอ เช่นเดียวกับตำแหน่งของ โอเดการ์ด ที่มีทั้ง ไค ฮาแวร์ตซ์ และ อีธาน วาเนรี่ ถูกยัดลงเล่นแทน

อาร์เซน่อล ครองบอลน้อยกว่าใน 3 นัดแรก แต่ก็ได้กลับมาเล่นเกมรุกเต็มตัวในเกมกับ เลสเตอร์ ที่มีโอกาสลุ้นยิงมากถึง 36 ครั้ง กลายเป็นสถิติมีโอกาสลุ้นยิงมากสุดต่อนัดของทีมนับตั้งแต่ฤดูกาล 2003/04 เป็นต้นมา เทียบเท่าวันที่เจอ ซันเดอร์แลนด์ เมื่อปี 2017

อาร์เตต้า ใช้ 2 วิธีหลักๆ ในการแก้ปัญหาการขาดหายไปของ โอเดการ์ด คือปรับเป็นระบบ 4-4-2 ที่ให้ ปาร์เตย์ หรือ จอร์จินโญ่ จับคู่กับ ไรซ์ และนัดที่เล่น 4-3-3 แบบเดิมก็ส่ง ฮาแวร์ตซ์ กับ วาเนรี่ เล่นแทน

โปรแกรม 5 นัดต่อจากนี้จะเริ่มที่รับมือ เปแอสเช ต่อด้วยเล่นในบ้านอีกนัดพบ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนไปเยือน บอร์นมัธ และลุยยุโรปอีกครั้งในบ้านพบ ชัคตาร์ โดเนทส์ค และบิ๊กแมตช์ปะทะ ลิเวอร์พูล ในช่วงปลายเดือนตุลาคม

คาดกันว่าใน 5 นัดต่อจากนี้อาจยังไม่มี โอเดการ์ด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องเสียหาย คุณภาพการเล่นหลายอย่างขาดหายไปด้วย 

แต่ อาร์เซน่อล ก็เอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้ดีทีเดียว แท็กติกการเล่นมีความยืดหยุ่น ขณะที่ตัวแทนอย่าง วาเนรี่ ก็เริ่มแสดงฝีเท้าให้เห็นว่าเป็นอะไหล่ได้ อย่างเช่นช่วงท้ายเกมนัดล่าสุดกับ เลสเตอร์ ที่ลงไปตอนสกอร์ 2-2 และทีมต้องการประตูอย่างยิ่ง ก็บ่งบอกชัดเจนว่าได้รับความไว้วางใจจาก อาร์เตต้า เป็นอย่างมาก

การเสียผู้เล่นสำคัญระดับกัปตันทีมเป็นเรื่องเสียหายและไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางรับมือเพื่อเดินหน้าต่อไปให้ได้

อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ผ่านบททดสอบไปได้หลายนัด และแม้จะมีอีกหลายนัดที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ความมั่นใจและสปิริตในทีมตอนนี้พร้อมในทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับแฟนบอลที่อุ่นใจได้ไม่น้อย



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด