เจ็บง่ายและปลายแผ่ว

ปัญหาที่ว่าคือ อาการบาดเจ็บ และปิดเกมไม่เป็น

ว่ากันถึงปัญหาอาการบาดเจ็บเป็นอันดับแรก วิลเลียม ซาลีบา กลายเป็นตัวหลักรายล่าสุดที่หายไปจากตัวจริงซึ่งสถิติเก่าๆ บ่งบอกอย่างดีว่าการ "มี" หรือ "ไม่มี" เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฝรั่งเศสในทีมมีความต่างกันมากทีเดียว

นี่เป็นเพียงครั้งที่ 13 ที่ ซาลีบา พลาดเกมลีกตลอด 98 นัดหลังสุด หรือนับตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 ที่กลับมาจากปล่อยยืมตัวเสริมกระดูกและกลายเป็นแกนหลักของทีมในทันที

ในเกมที่มี ซาลีบา ลงเล่น อาร์เซน่อล ชนะได้ถึง 71.8 เปอร์เซ็นต์ และเสียเฉลี่ยเพียง 0.8 ประตูต่อนัด

แต่ในทีมที่ไม่มี ซาลีบา เปอร์เซ็นต์ชนะของ อาร์เซน่อล ลดฮวบเหลือ 38.5 เปอร์เซ็นต์ และตัวเลขเสียประตูเฉลี่ยเพิ่มเป็น 1.7 ประตูต่อนัด

อาการบาดเจ็บของแนวรับวัย 23 ปี เคยเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ อาร์เซน่อล พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเสียดายในสองฤดูกาลที่แล้ว 

มิเกล อาร์เตต้า พยายามปรับเกมรับให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียบพร้อมมากขึ้น จากตัวสำรองอย่าง ร็อบ โฮลดิ้ง ในปีแรกที่พลาดแชมป์ มาเป็นผู้เล่นอย่าง เจอร์เรียน ทิมเบอร์ และ ริคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ขณะที่ เบน ไวท์ กับ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ ก็เป็นฟูลแบ็กที่เล่นเซนเตอร์ได้เช่นกัน

ทว่าด้วยปัญหาบาดเจ็บในตอนนี้ทำให้มีเพียง ทิมเบอร์ ที่พร้อมลงเล่น และอันที่จริงผ่านความฟิตก่อนเกมด้วย เขาถูกเลือกให้ยืนเซนเตอร์ร่วมกับ กาเบรียล มากัลเญส ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เล่นประจำตอนอยู่ อาแจ็กซ์ แต่พอย้ายมา อาร์เซน่อล มักถูกใช้งานในตำแหน่งแบ็กโดยตลอด

ทิมเบอร์ และ กาเบรียล ปิดโอกาสของ วัตกิ้นส์ ได้ดีในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลัง หัวหอกวิลล่าสลัดหนีหาพื้นที่ได้ดีขึ้น และมีส่วนในการเปิดแผลในเกมรับของปืนใหญ่

การต้องขยับ ทิมเบอร์ ไปเล่นปราการหลังตัวกลางทำให้ต้องปรับแบ็กขวาด้วย และเป็น โธมัส ปาร์เตย์ ที่ถูกถอดมาแก้ขัดอีกนัด ขณะที่ตำแหน่งเดิมมี เดแคลน ไรซ์ ขยับมารับหน้าที่แทน

ปาร์เตย์ ทำได้ดีในหลายจังหวะ แต่บทจะหลุดก็หลุดง่ายปล่อยให้ วัตกิ้นส์ เข้ายิงประตูแบบไร้คนประกบ เพราะเขาไม่ได้มีเซนซ์เกมรับโดยธรรมชาติในแบบผู้เล่นกองหลังจริงๆ 

หัวใจสำคัญของทีมที่ทำผลงานได้ดีคือ ผู้เล่นตัวหลักได้ลงเล่นด้วยกันอย่างสม่ำเสมอซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้นในทุกครั้งที่เล่นรวมกัน และเป็นสิ่งที่ขาดหายไปของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้

ด้วยปัญหาบาดเจ็บที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง มิเกล อาร์เตต้า จำเป็นต้องเปลี่ยนทีมแทบทุกนัด เขาใช้แผงแบ็กโฟร์ที่แตกต่างกัน 11 รูปแบบจาก 22 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ขณะที่แผงมิดฟิลด์ก็มีมากถึง 13 รูปแบบ

ขณะที่การปิดเกมไม่เป็น และแผ่วปลายจนเปิดโอกาสให้คู่แข่งมีฮึดก็เป็นอีกจุดสลบในฤดูกาลนี้

อาร์เซน่อล ทำคะแนนหล่นมากถึง 12 คะแนนจากสถานการณ์ที่ขึ้นนำคู่แข่งได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ประกอบด้วย

นำ ไบรท์ตัน 1-0 จบ 1-1

นำ แมนฯ ซิตี้ 2-1 จบ 2-2

นำ ลิเวอร์พูล 1-0 และ 2-1 จบ 2-2

เชลซี 1-0 จบ 1-1 

ไบรท์ตัน 1-0 จบ 1-1

ละนำ แอสตัน วิลล่า 2-0 แต่จบ 2-2  

จาก 14 นัดที่นำคู่แข่งได้ก่อน อาร์เซน่อล โดนตามตีเสมอถึง 7 ครั้งซึ่งรวมถึงเกมที่นำ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 ก่อนโดน 2-2 ยังดีที่ช่วงทดเจ็บมีฮึดเอาชนะไปได้ 4-2

เป็นคะแนนที่ตกหล่นเยอะมากจากโอกาสที่น่าจะชนะได้ ขณะที่จ่าฝูง ลิเวอร์พูล ทำคะแนนหล่นในสถานการณ์เดียวกันนี้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น (นำ นิวคาสเซิ่ล 3-2 จบ 3-3 และนำ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 จบ 2-2) 

ถ้านับเฉพาะครึ่งเวลาแรกอย่างเดียว อาร์เซน่อล มีผลงานดีสุดในลีก และจะนำจ่าฝูงด้วยการหนีห่าง ลิเวอร์พูล ถึง 8 คะแนนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หากนับเฉพาะครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เหนือกว่า อาร์เซน่อล แบบชัดเจนจากการชนะได้ถึคง 15 นัด เสมอ 5 นัด และแพ้นัดเดียว 

เปรียบเทียบผลงานเฉพาะครึ่งหลังของทั้งสองทีมแล้ว ลิเวอร์พูล เก็บได้มากกว่า อาร์เซน่อล ถึง 16 คะแนน

ยิ่งมองไปที่ขุมกำลังข้างสนามยิ่งเห็นความต่าง ลิเวอร์พูล มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ, ดิโอโก้ โชต้รา, ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี้ กัคโป, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า สลับสับเปลี่ยนกันลงเล่นในสามแนวรุกด้านบน และในนัดล่าสุดก็เป็น นูนเญซ ที่ลงสำรองมายิง 2 ประตูให้ทีมชนะ เบรนท์ฟอร์ด

ขณะที่นัดล่าสุดของ อาร์เซน่อล อาร์เตต้า เปลี่ยนตัวได้เพียงตำแหน่งเดียวจากโควตา 5 คนทั้งที่ต้องการประตู และคนที่ลงมาอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ใดๆ ได้ 

อาร์เตต้า ยอมรับหลังเกมว่าตัวสำรองของหงส์แดงสร้างความแตกต่างได้ดีกว่า และนอกจาก สเตอร์ลิ่ง ในรายชื่อสำรองแล้ว แนวรุกอื่นที่มีก็เป็นเพียงดาวรุ่งทั้ง นาธาน บัทเลอร์-โอเยเดยี่ และ อิสมาอัล คาเบีย ที่ไม่เคยสัมผัสเกมระดับพรีเมียร์ลีกเลย

ฤดูกาลที่แล้ว ตัวสำรอง อาร์เซน่อล มีส่วนให้ทีมได้ประตู 20 ประตู มากอันดับ 4 ของลีก แต่ฤดูกาลนี้ที่ผ่านครึ่งทางไปแล้ว ตัวเลขที่ตัวสำรองช่วยทีมได้ประตูมีเพียง 8 ประตู

อีกหนึ่งสถิติคือ อาร์เซน่อล ยิงได้เพียง 5 ประตูหลังผ่านนาที 80 ไปแล้วในฤดูกาลนี้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยิงได้ 10 ประตู ส่วนฤดูกาลที่แล้ว ปืนใหญ่เคยทำได้ถึง 18 ประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้าย (รวมทดเจ็บ) และมีเพียง ลิเวอร์พูล ทีมเดียวทำได้มากกว่า (19 ประตู) 

ประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายเคยเปลี่ยนผลการแข่งขันให้ อาร์เซน่อล เก็บแต้มได้ 13 คะแนนในฤดูกาลที่แล้ว แต่ฤดูกาลนี้ทำได้เพียง 2 คะแนนเท่านั้นจาก 22 นัดที่ผ่านมา 

ผลงานล่าสุดที่ อาร์เซน่อล ต้องปรับเปลี่ยนทีมเพราะปัญหาบาดเจ็บ และโดนตามตีเสมอ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ฮึดยิงสองประตูท้ายเกมเก็บสามคะแนนได้คือ ความต่างที่ทำให้สถานการณ์ในตารางคะแนนเป็นอย่างที่เป็นในตอนนี้