ทำสิ่งที่ต้องทำ

ลูกโหม่งประตูชัยของ มิเกล เมริโน่ ช่วยให้ทีมเก็บชัยชนะที่ต้องการเอาไว้ได้ แม้ไม่ได้ขาดลอยเหมือนซีซั่นก่อนที่ยิงถึง 5-0 แต่ก็เป็น 3 คะแนนที่ล้ำค่า

มิเกล อาร์เตต้า เป่าปากด้วยความโล่งอกนิดๆ ที่ลูกทีมทำภารกิจเรียบร้อยตามเป้า ก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติ

"เราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะ แต่เราก็แฮปปี้แล้ว นี่เป็นเกมที่สำคัญ เราเจอกับคู่แข่งระดับท็อป และเป็นทีมที่มีสปิริตน่าทึ่ง" อาร์เตต้า กล่าว

ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก อาร์เซน่อล มีโอกาสลุ้นประตูหลายครั้งทั้งจาก เลอันโดร ทรอสซาร์ และ เดแคลน ไรซ์ ที่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา

ประตูเดียวชี้ขาดเกมมาจากลูกเตะมุมที่ มาร์ติน โอเดการ์ด เปิดเข้าหัว มิเกล เมริโน่ โหม่งเสยเสาแรกส่งบอลลอยข้ามหัว โรเบิร์ต ซานเชซ เข้าเสาไกลอย่างแม่นยำ

ก่อนหน้านี้ลูกเตะมุมทีเด็ดของปืนใหญ่เงียบหายไปพักใหญ่ทำประตูไม่ได้เลย 7 นัดติดในลีก หรือนับตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่เอาชนะ สเปอร์ส 2-1 ซึ่งได้จาก กาเบรียล มากัลเญส โหม่งไปติด โดมินิค โซลันกี้ ก่อนเด้งเข้าประตู

เชลซี ของกุนซือ เอ็นโซ่ มาเรสก้า เล่นในเกมของตัวเองไม่ได้เลยในช่วงแรก เปโดร เนโต้ ที่ต้องเล่นหน้าเป้าจำเป็นในช่วง นิโกลัส แจ็คสัน บาดเจ็บ ก็ดูโดดเด่นได้เล่นกับบอลน้อยมาก

นอกจากขาดหน้าเป้าเหมือน อาร์เซน่อล แล้ว เชลซี ยังไม่มี โคล พาลเมอร์ ตัวรุกสำคัญสุดของทีมที่โชคร้ายบาดเจ็บก่อนเกมทำให้พลาดช่วยทีม 

บังเอิญมากว่านัดล่าสุดที่ พาลเมอร์ ไม่ได้ลงเล่นเกมลีกให้ เชลซี ก็คือเกมเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในฤดูกาลที่แล้ว หลังจากนั้นไม่พลาดลงสนามเลย 34 นัดติดจนกระทั่งหายหน้าอีกครั้งในเกมเยือนรังปืนใหญ่นัดล่าสุด 

เชลซี เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้จริงจังคือในช่วง 15 นาทีท้ายของครึ่งแรกที่สามารถครองบอล และต่อบอลในแดนเจ้าบ้านได้ และเกือบตีเสมอจากลูกวอลเลย์เต็มข้อของ มาร์ก กูกูเรย่า ที่ทำเอา เดวิด ราย่า ซองแตกก่อนบอลปลิ้นถากเสาไกลออกหลัง

ในครึ่งหลัง แม้ เชลซี จะได้ครงบอลมาก และผ่านบอลในพื้นที่สุดท้ายมากขึ้น แต่โอกาสลุ้นประตูยังน้อยนิด เกมรับ อาร์เซน่อล ยังทำหน้าที่ได้ดี ไม่ได้เปิดโอกาสแบบที่ กูกูเรย่า ได้ยิงโล่งๆ อีก

ขณะเดียวกัน เกมรุกปืนใหญ่ก็ไม่ได้คุกคามผู้มาเยือนได้มากนักในครึ่งหลังซึ่งไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ยากเพราะช่วงเวลาที่ขาดขาดหน้าเป้าแบบนี้ แต่ละประตูที่ทำได้ดูจะยากเย็นพอสมควร

เมริโน่ มีโอกาสตั้งเป้ากระแทกบอลเน้นๆ จากการเปิดมาให้ของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ แต่ ซานเชซ ไม่เสียท่าอีกทุบทิ้งเอาไว้ได้

ขุมกำลังข้างสนามที่เป็นตัวรุกมีจำกัดจำเขี่ยพอๆ กัน อาร์เตต้า ส่ง อีธาน วาเนรี่ ลงมาช่วง 11 นาทีสุดท้าย ขณะที่ มาเรสก้า ก็มีเพียง คีแรน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ คนเดียวที่เป็นตัวรุกซีเนียร์ ส่วนเจ้าหนู ไทริก จอร์จ ที่หน้าตาละม้ายคล้าย บูคาโย ซาก้า ราวกับเป็นน้องชายคลานตามกันมา อายุเพียง 19 ปี

ยิ่งใกล้หมดเวลาเกมยิ่งเนือย อาร์เซน่อล บวกเพิ่มประตูที่สองไม่ได้ แต่ เชลซี เองก็ไม่ดีพอที่จะตามตีเสมอได้

อาร์เตต้า ยืดสถิติพาทีมไม่แพ้ เชลซี 7 นัดติดในลีก และกลับมาชนะได้อีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้พลาดท่าแพ้ เวสต์แฮม ต่อด้วยเสมอสองนัดติดที่เจอ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ แมนฯ ยูไนเต็ด

ช่องว่างกับจ่าฝูง ลิเวอร์พูล ที่ไม่มีโปรแกรมลีกเพราะลงเตะนัดชิงชนะเลิศคาราบาว คัพ ลดลงเหลือ 12 คะแนน

แม้โอกาสลุ้นแชมป์ยังคงยากถึงยากมาก แต่ 3 คะแนนนัดนี้สำคัญต่อ อาร์เซน่อล ในแง่ตอกหมุดการจบท็อปโฟร์ให้แน่นหนายิ่งขึ้นด้วยการทิ้งห่างอันดับ 5 แมนฯ ซิตี้ เพิ่มเป็น 10 คะแนน

การได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นฤดูกาลที่ 3 มีความเป็นไปได้สูงมาก และในปีที่แล้วกับปีนี้ที่เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายสองปีติดก็ทำเงินให้สโมสรได้อย่างมหาศาล

ชัยชนะเหนือ เชลซี ไม่ใช่เกมที่ อาร์เซน่อล ทำผลงานเลิศเลอ บางช่วงเวลาระหว่างเกมดูดร็อปๆ ลงไป แต่สิ่งสำคัญคือการเก็บชัยชนะได้ตามเป้า และเป็นชัยชนะนัดแรกรอบ 4 นัดหลังในลีกที่ทีมต้องการ

เป็นเกมที่เรียกได้ว่า "Job done" ทำงานของตัวเองเรียบร้อย ไม่มีอะไรตกหล่น และเดินหน้าสู่นัดต่อไปได้แบบไม่คาใจ

เรื่องลุ้นแชมป์อย่าไปกังวลให้มากเพราะสถานการณ์ยังเป็น ลิเวอร์พูล ที่ควบคุมทุกอย่างในมือ ส่วน อาร์เซน่อล ก็เพียงแค่ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ ว่ากันนัดต่อนัด 

สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือ "ทำสิ่งที่ต้องทำ" นั่นคือ พยายามเอาชนะให้ได้ในทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล