4 อรหันต์เนชั่นส์ ลีก

การเข้ารอบของทั้ง 4 ทีมถือว่าคู่ควรและสมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริงเพราะต้องลุ้นกันจนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะผ่านคู่แข่งในรอบก่อนรองชนะเลิศ
แต่ละคู่แต่ละสนามไม่มีเกมไหนง่าย ต้องลุ้นกันถึงช่วงทดเจ็บ ช่วงต่อเวลา และบางคู่ล่วงเลยไปจนถึงการดวลจุดโทษกว่าจะได้ผู้ชนะ
ไปไล่เรียงสิ่งที่เกิดขึ้นกันในรอบก่อนรองชนะเลิศกันอีกรอบว่ากว่าจะได้ 4 ทีมที่เข้ารอบต้องลุ้นขนาดไหน
เริ่มคู่แรก เยอรมนี กับ อิตาลี
ในนัดแรก เยอรมนี บุกชนะ อิตาลี ถึงซาน ซิโร่ 2-1 กุมความได้เปรียบพอสมควรก่อนลงเล่นนัดสองในบ้านตัวเอง
ลูกทีมของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ รักษาโมเมนตัมจากนัดแรกด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมในครึ่งแรกที่ฉีกหนี อิตาลี ถึง 3-0
นาเกลส์มันน์ บอกว่านี่คือฟอร์มการเล่นครึ่งเวลาที่ดีสุดนับตั้งแต่ตัวเองเข้ามาคุมทีมไปแล้ว 21 นัด หรือนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2023
อิตาลี เจองานหนักยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเพราะสกอร์รวมตามหลัง 1-5 และเหลือเวลาอีกเพียง 45 นาที
ถ้าเป็นทีมอื่นคงถอดใจไปแล้วแต่อัซซูรี่ชุดนี้ขอฮึดอีกรอบไล่ยิงคืนมาได้ 2 ลูกจาก มอยเซ่ คีน ในนาที 49 และ 69 ทำเอาแฟนบอลเจ้าบ้านนั่งกันไม่ติดในช่วง 20 นาทีสุดท้ายเพราะโมเมนตัมเริ่มเหวี่ยงกลับไปที่ฝั่งทีมเยอืน
ลูกทีมของ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ เรียกจุดโทษได้ในนาที 75 ทว่าถูก วีเออาร์ ริบคืน และกว่าจะมาได้จุดโทษจริงๆ ก็ล่วงเลยจนถึงช่วงทดเจ็บก่อนเป็น จาโคโม่ ราสปาโดรี่ ยิงตีเสมอ 3-3
อินทรีเหล็กได้ไปต่อลุ้นแชมป์ในแผ่นดินตัวเอง
แต่ท้ายที่สุดก็ได้แค่นั้น อิตาลี พยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ พวกเขาแพ้ประตูรวม 4-5 ซึ่งในหลายประตูที่เสียก็น่าเสียดายโดยเฉพาะประตู 2-0 ในครึ่งแรกซึ่งพลาดแบบมือสมัครเล่นเพราะเกือบทุกคนหันหลังให้ลูกบอลจนปล่อยให้ จามาล มูเซียล่า ตวัดยิงลูกเตะมุมง่ายๆ เข้าประตู
บทสรุปคู่นี้่จึงเป็น "อินทรีเหล็ก" ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในซัมเมอร์ได้ซึ่งพวกเขาจะรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผ่านเข้ารอบ "ไฟนัลส์" หรือว่า 4 ทีมสุดท้าย
ต่อกันที่คู่ระหว่าง โปรตุเกส กับ เดนมาร์ก ที่ลากยาวจนถึงการต่อเวลาพิเศษ
นัดแรกที่โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ก เปิดรังเฉือนชนะได้ก่อน 1-0 จากประตูของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ลงเป็นสำรอง
ทัพโคนมสมควรเป็นผู้ชนะในนัดแรกเพราะสร้างโอกาสลุ้นยิงประตูได้ถึง 23 ครั้ง ต่างจาก โปรตุเกส ที่มีโอกาสเพียง 8 ครั้ง
นัดสอง โปรตุเกส จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชนะคืนให้ได้ และลุยแหลกทันทีจนมาได้จุดโทษต้้งแต่ 6 นาทีแรกหลัง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดน พาทริค ดอร์กู ทำฟาวล์
ทว่า โรนัลโด้ ยิงได้ไม่ดีนักซัดไปติดเซฟของ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล และนายทวารจอมเก๋าของเดนมาร์ก ก็ปฏิเสธโอกาสลุ้นของ โรนัลโด้ จากลูกโหม่งอีกครั้ง
โปรตุเกส ต้องรอจนถึง 7 นาทีท้ายของครึ่งแรกกว่าจะได้ประตูนำ 1-0 จากเตะมุมที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เปิดเข้าไปในเขตโทษ โยอาคิม อันเดอร์เซ่น โหม่งผิดเหลี่ยมส่งบอลย้อนเข้าประตูตัวเองอย่างโชคร้าย
แต่ เดนมาร์ก ตามตีเสมอได้ในต้นครึ่งหลัง ก่อนที่ โรนัลโด้ จะซัดประตูที่ 929 ในอาชีพให้โปรตุเกสนำอีกรอบนาที 72 ทว่าให้หลัง 4 นาทีก็โดนทัพโคนมตามตีเสมออีกจาก คริสเตียน เอริคเซ่น
โรนัลโด้ เข็นโปรตุเกสเข้ารอบจนได้
เกมทำท่าว่า โปรตุเกส จะตกรอบคาบ้าน แต่ก่อนจบเกม 4 นาที ฟรานซิสโก้ ตรินเกา ก็กลายเป็นซูเปอร์ซับยิงให้ทีมนำ 3-2 หลังลงสำรองเพียง 5 นาที
ประตูของ ตรินเกา ช่วยให้ประตูรวมสองนัดเท่ากัน 3-3 ต้องต่อเวลาพิเศษ โดยที่ โปรตุเกส ไม่มี โรนัลโด้ แล้วเพราะถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงทดเจ็บ
แต่คนที่ลงมาแทนอย่าง กอนซาโล่ รามอส ก็สานงานต่อได้ดีหาโอกาสสับไกจน คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ต้องทุบไปเข้าทาง ตรินเกา หวดซ้ำแม่นยำเปลี่ยนสกอร์เป็น 4-2
ชไมเคิ่ล ออกแรงเซฟช่วยเดนมาร์กอีกหลายครั้ง ทว่าก็เสียประตูที่ห้าในนาที 115 จากจังหวะ ดิโอโก้ โชต้า จ่ายให้ รามอส ยิงง่ายๆ เป็น 5-2 โดยที่ก่อนหน้านั้น โชต้า ได้หลุดเดี่ยวลากหนี ชไมเคิ่ล ไปซัดตุงตาข่ายได้แล้ว ทว่าถูกจับล้ำหน้า
โปรตุเกส จึงพลิกสถานการณ์เข้ารอบได้สำเร็จ เป็นการเข้ารอบ 4 ทีมครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ที่ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เริ่มเปิดตัว และทัพฝอยทองประเดิมคว้าแชมป์
ขณะที่เกมระหว่าง สเปน กับ เนเธอร์แลนด์ คือหนึ่งใน 2 คู่ที่สู้กันจนถึงฎีกาต้องตัดสินผู้ชนะด้วยการยิงจุดโทษ
ในนัดแรกที่แดนกังหัน สเปน ตามตีเสมอ เนเธอร์แลนด์ 2-2 ในช่วงทดเจ็บ และนัดสองก็ยังจบที่สกอร์ 2-2 ในเวลาปกติอีกครั้ง
มิเกล โอยาร์ยาซัล ซัดจุดโทษให้สเปนนำตั้งแต่ 8 นาทีแรก แต่เนเธอร์แลนด์ก็ทวงคืนจากจุดโทษเช่นกันโดย เมมฟิส เดอปาย และแม้ โอยาร์ซาบัล บวกลูกสองของตัวเองให้ทัพกระทิงนำอีกรอบ แต่ เอียน มาตเซ่น ที่ถูกกุนซือ โรนัลด์ คูมัน เรียกตัวเสริมก็ซัดไกลตีเสมอ 2-2 ให้ทัพกังหัน
ครบ 180 นาทีของสองนัดเสมอกัน 4-4 ต้องต่อเวลาพิเศษที่ยังคงเป็นสเปนนำครั้งที่สามในเกมจาก ลามีน ยามาล ผู้ทำสถิติอายุน้อยสุดยิงในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ทว่า ซาฟี่ ซีม่อน ก็ยิงให้ทีมเยือนตีเสมออีกรอบ
สุดท้ายต้องตัดสินที่การดวลจุดโทษซึ่งคนที่ 4 ของแต่ละฝ่ายต่างยิงพลาดทั้ง โนอา แลง และ ลามีน ยามาล
กระทิงดวลดัตช์จนถึงฎีกา
เกมมาจบตรงที่ ดอนเยลล์ มาเล่น ซัดติดเซฟ อูไน ซีม่อน ก่อนที่ เปดรี้ เดินออกมาปิดจ๊อบซัดตุงตาข่ายส่งให้สเปนชนะจุดโทษ 5-4 ได้ผ่านเข้ารอบในที่สุด
และคู่สุดท้าย ฝรั่งเศส กับ โครเอเชีย ที่ดวลกันเต็มกราฟจนถึงจุดโทษเช่นกัน
ฝรั่งเศส แพ้มาก่อน 0-2 ทำให้อยู่ในสถานการณ์กดดันพอสมควร และหนึ่งในปัญหาของทีมในช่วงหลังคือ ความสม่ำเสมอในการเล่น
เกมรุกที่นำโดย คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และ อุสมาน เดมเบเล่ เปิดฉากลุยใส่ทัพตราหมากรุกตั้งแต่เริ่มเสียงนกหวีด พวกเขาหาโอกาสสับไกได้ถึง 12 ครั้ง แต่ไร้ความแม่นยำเข้ากรอบเพียงครั้งเดียว และยังตามหาประตูแรกไม่ได้
ตราไก่ปลดล็อกได้สำเร็จในครึ่งหลังเมื่อได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษก่อนเป็น ไมเคิ่ล โอลีเซ่ ซัดเสียบใต้คานงามหยดเป็นประตูแรกในการรับใช้ชาติของปีกจอมพลิ้วจาก บาเยิร์น มิวนิค
โครเอเชีย แทบไม่มีโอกาสลุ้นประตู คำถามจึงมีเพียง ฝรั่งเศส จะยิงลูกที่สองได้เมื่อไหร่ และแม้ยิงทิ้งยิงขว้างไปหลายครั้ง แต่ก่อนจบเกม 10 นาที โอลีเซ่ ก็หลุดเข้าเขตโทษไปจ่ายให้ อุสมาน เดมเบเล่ ตวัดยิงตุงตาข่ายจนได้
ฝรั่งเศส เอาชนะคืนได้ 2-0 ทำให้สกอร์รวมจบที่ 2-2 ไปว่ากันในช่วงต่อเวลาพิเศษที่แทบกลายเป็นเกมแบบวันเวย์ของเจ้าถิ่นกับโอกาสลุ้นประตู 8 ครั้งต่อ 0 ครั้ง ทว่าประตูตัดสินการเข้ารอบไม่มา
ตราไก่พลิกสถานการณ์ในรังตัวเองได้สำเร็จ
การตัดสินด้วยลูกนิ่ง 12 หลาเกิดขึ้นอีกสนาม โดย 5 คนแรกต่างพลาดฝั่งละ 2 ต้องดวลกันในคนที่ 6 และ 7 ก่อนสุดท้ายเป็น โครเอเชีย พลาดอีกส่งผลให้ ฝรั่งเศส ชนะไป 5-4 ไมค์ เมนญ็อง กลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ของเจ้าถิ่นหลังเซฟจุดโทษไป 2 ครั้ง
การแข่งขันอันยาวนาน และเต็มไปด้วยความกดดันจบลงด้วยการได้ 4 ทีมครบถ้วยเข้าสู่รอบไฟนัลส์ซึ่งแต่ละทีมก็ล้วนมีดีกรีที่ไม่ธรรมดา
ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ สเปน ล้วนเคยเป็นแชมป์โลก ขณะที่ โปรตุเกส ก็เป็นแชมป์ยุโรป และเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้
ในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 3 ครั้งที่ผ่านมา ทีมแชมป์คือ โปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ สเปน
เยอรมัน ยังไม่เคยเป็นแชมป์ แต่ครั้งนี้เข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรก และจะได้ลงเล่นในแผ่นดินของตัวเอง
ไม่มีโอกาสคว้าแชมป์ครั้งไหนที่ดีและเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
...
โปรแกรมในรอบไฟนัลส์ 4 ทีมสุดท้าย
4 มิ.ย. : เยอรมนี vs โปรตุเกส
5 มิ.ย. : สเปน vs ฝรั่งเศส
รอบชิงอันดับ 3
8 มิ.ย. : ผู้แพ้จากรอบรองชนะเลิศ
รอบชิงชนะเลิศ
8 มิ.ย. : ผู้ชนะจากรอบรองชนะเลิศ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT