:::     :::

ย้อนอดีต "ปืนโต" ฝ่านรกโค่น "ราชัน"

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล เตรียมลงสนามในโปรแกรมที่ใหญ่สุดและสำคัญสุดของฤดูกาลนี้ด้วยการเผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย

เป็นการโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งนับตั้งแต่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ อาร์เซน่อล ที่พลิกโค่น เรอัล มาดริด ลงได้เมื่อปี 2006 

ก่อนเจอกันอีกครั้งในวันอังคารที่ 8 เมษายนนี้ ที่ อาร์เซน่อล ได้เล่นในบ้านนัดแรก และนัดสองที่สเปนสัปดาห์หน้า เราจะไปย้อนดูแมตช์แห่งความทรงจำระหว่าง "ปืนใหญ่" กับ "ราชันชุดขาว" เมื่อเกือบสองทศวรรษที่แล้วกันอีกครั้ง

ตอนนั้น อาร์เซน่อล ได้เจอกับ เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2005/06 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ อาร์เซน่อล ใช้งาน "ไฮบิวรี่" รังเหย้าเก่า

อาร์เซน่อล ที่คุมทีมโดย อาร์แซน เวนเกอร์ จบรอบแบ่งกลุ่มที่มี อาแจ็กซ์ (เนเธอร์แลนด์), ธูน (สวิตเซอร์แลนด์) และ สปาร์ต้า ปราก (สาธารณรัฐเช็ก) ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนถูกจับสลากพบกระดูกชิ้นโต เรอัล มาดริด 

แม้ เรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มไม่ดีนักในรอบแบ่งกลุ่มที่พลาดท่าเข้าอันดับสองรองจาก โอลิมปิก ลียง ของฝรั่งเศส แต่เกจิหลายคนก็มองว่า "เหนือกว่า" อาร์เซน่อล พอสมควรในรอบน็อกเอาต์

ทีมปืนใหญ่เป็นรองทั้งชื่อชั้นนักเตะ ประสบการณ์ และ "บารมี" ในเวทียุโรป พวกเขาไม่เคยสัมผัสแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ลีก แม้แต่ครั้งเดียว ขณะที่ทัพราชันชุดขาวได้คือเจ้าพ่อของรายการนี้กวาดไปแล้ว 9 สมัย (ปัจจุบันได้ 15 สมัย)

เรอัล มาดริด ยุคนั้นเป็นยุคแรกของ "กาลาติกอส" ที่ท่านประธาน ฟลอเรนติโน่ เปเรซ บรรจงสร้างทีมด้วยการดึงแข้งดังร่วมทีมในทุกปี โดยชุดนั้นมี ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม, ราอูล กอนซาเลซ โรแบร์โต้ คาร์ลอส, เซร์คิโอ รามอส และ กูตี เป็นดาราชูโรง


อองรี เล่นงานเกมรับราชันจนพัง

ฟอร์มของ อาร์เซน่อล ไม่ดีด้วยก่อนลงสนามเมื่อชนะเพียง 4 จาก 12 นัดในทุกรายการ แถมสถิติเจอทีมจากสเปนก็ย่ำแย่แพ้เป็นส่วนใหญ่ 

เวนเกอร์ ต้องพาทีมไปเยือนที่สเปนก่อนในนัดแรกซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีสโมสรจากอังกฤษทีมใดบุกชนะ เรอัล มาดริด ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ได้เลย 

ทั้งหมดทั้งมวลดูจะเป็นภารกิจที่หนักอึ้งอย่างมากสำหรับ อาร์เซน่อล ทว่า เธียร์รี่ อองรี และเพื่อนร่วมทีมก็จัดการหักปากกาเซียนตั้งแต่นัดแรกด้วยการบุกโค่นทัพราชันถึงถิ่นจากประตูชัยของคนที่เป็นความหวังสูงสุดอย่าง อองรี

นี่คือหนึ่งค่ำคืนที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร อาร์เซน่อล เมื่อพวกเขาสามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาสู่กับเจ้าถิ่นได้อย่างสมศักดิ์ศรี และสมควรเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง 

อาร์เซน่อล เล่นในระบบ 4-5-1 ที่มี เธียร์รี่ อองรี ปักหลักข้างหน้าคนเดียวพร้อมอัดกลางแน่น 5 คนไล่จากซ้ายไปขวาประกอบด้วย โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส, เชส ฟาเบรกาส, จิลแบร์โต้ ซิลวา, อเล็กซานเดอร์ คเล็บ และ เฟรดริก ลุงเบิร์ก 

ส่วนเกมรับขาดตัวหลักเพราะอาการบาดเจ็บหลายคนทั้ง โซล แคมป์เบลล์, แอชลี่ย์ โคล และ โลร็องต์ ที่ล้วนเป็นตัวจริงชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกไร้พ่ายเมื่อสองปีก่อน ฟิลิปป์ เซนเดอรอส เซนเตอร์ดาวรุ่งวัย 21 ปีที่มีประสบการณ์แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียง 3 นัด จึงได้ลงตัวจริงคู่ โคโล่ ตูเร่ ขณะที่แบ็กซ้ายต้องโยก มาติเยอ ฟลามินี่ กองกลางชาวฝรั่งเศสไปเล่นแก้ขัด และแบ็กขวาเป็น เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ พร้อมกับมี เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารจอมเก๋าเฝ้าเสา

แม้ตัวผู้เล่นไม่ฟูลทีมโดยเฉพาะเกมรับที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทว่าการเล่นเต็มไปด้วยความมั่นใจ แข็งแกร่ง และลื่นไหล สอดประสานกันได้ลงตัว โชว์ความเป็นทีมเวิร์กออกมาได้มากกว่าเจ้าถิ่นด้วยซ้ำ และน่าจะขึ้นนำถึงสองประตูในช่วง 15 นาทีแรกจากสองปีก เรเยส และ ลุงเบิร์ก 

เธียร์รี่ อองรี คือหัวใจของทีมอย่างแท้จริง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเกมรุกทั้งเก็บบอลแดนหน้า และสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม ปั่นป่วนเกมรับคู่แข่งจนกระทั่งสร้างโอกาสด้วยตัวเองจนกลายเป็นประตูชัยในต้นครึ่งหลัง


"เดอะ คิง" ฉลองประตูที่เบร์นาเบว

อองรี ได้บอลกลางสนามก่อนควบขึ้นหน้าทันทีหนี โรนัลโด้ และ อัลบาโร่ เมฆิอา ต่อด้วยแตะหนี กูตี ที่พยายามไล่เสียบจนทะลุเข้าเขตโทษแล้วซัดด้วยซ้ายผ่านบล็อก เซร์คิโอ รามอส พุ่งเข้าเสาไกลสุดปัญหาที่ อีเกร์ กาซียาส จะเซฟได้ทัน

มาดริด กับการเล่นในบ้านไม่สามารถกดดันแนวรับทีมเยือนจากอังกฤษได้อย่างที่จะเป็น เดวิด เบ็คแฮม มีโอกาสดีสุดในครึ่งแรกที่หลุดไปยิงในเขตโทษ ทว่า เลห์มันน์ ก็ออกมาบล็อกได้เร็ว ส่วนครึ่งหลังได้ลุ้นใกล้เคียงสุดจากลูกโหม่งของ ราอูล ที่ลงเป็นสำรอง แต่ก็ข้ามคาน

อาร์เซน่อล จึงเก็บชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สุดอีกนัดในการเล่นถ้วยยุโรปด้วยการบุกเอาชนะ เรอัล มาดริด 1-0 กุมความได้เปรียบก่อนกลับมาเล่นในไฮบิวรี่นัดสอง

อองรี ผู้โซโล่ประตูชัยที่กลายเป็นหนึ่งในประตูที่บ่งบอกความเป็นตัวเองได้ดีสุด กล่าวหลังเกมว่า "ผมรู้ว่าผมจะได้โอกาสสักครั้ง เราทิ้งโอกาสไปหลายครั้งในครึ่งแรก ผมบอกกับตัวเองว่าต้องคว้าโอกาสครั้งต่อไปให้ได้ และผมก็ทำได้

"เพราะผมทำประตู ผู้คนเลยยกย่องผมก่อนทีม แต่ผมอยากบอกว่าทั้งทีมสุดยอดมาก"

ขณะที่ เวนเกอร์ เสริมว่า "เราเป็นทีมคนหนุ่ม แต่การชนะในเกมแบบนี้ช่วยให้เราเติบโตขึ้น นี่คือผลการแข่งขันที่ช่วยให้เรารวมใจข้าด้วยกัน

"ความเสียใจเพียงอย่างเดียวของผมคือมีโอกาสอีกครั้งสองครั้งที่จะทำประตูได้มากกว่านี้ และโชคไม่ดีที่เราไม่สามารถทำได้"

ในนัดสอง อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่เปลี่ยนทีมจากนัดแรก ขณะที่ เรอัล มาดริด ที่ตอนนั้นคุมโดย ฆวน โลเปซ กาโร่ ปรับแนวรุกส่ง ราอูล กอนซาเลซ ลงตัวจริงคู่กับ โรนัลโด้ เพราะต้องการทะลวงประตูเอาชนะคืนให้ได้


อาร์เซน่อล ใช้ชุดเดิมยัน เรอัล มาดริด ในนัดสอง

เกมนัดสองเปิดแลกกันมากขึ้น มาดริด ลุยใส่ตั้งแต่ต้นและเกือบนำจาก โรนัลโด้ ที่โหม่งติดเซฟ และอีกจังหวะหลุดเข้าเขตโทษกำลังได้ส่องระยะเผาขน ทว่า จิลแบร์โต้ ซิลวา แหย่เท้าจากด้านหลังสกัดได้เส้นยาแดงผ่าแปด ขณะที่ เดวิด เบ็คแฮม ก็ยิงฟรีคิกเกือบเสียบเสา

มาดริด มาแบบหนักหน่วงเสียบฟาวล์หนักจนได้ใบเหลืองถึง 4 ใบเพื่อหยุดความคล่องแคล่วของผู้เล่นอย่าง เรเยส, คเล็บ และ ฟาเบรกาส 

โอกาสดีสุดของทีมเยือนมาจาก ราอูล กอนซาเลซ ได้เก็บตกหวดด้วยขวาหนีมือ เลห์มันน์ ได้แล้วทว่าชนเสาอย่างจัง บอลเด้งเข้าทางได้ตามซ้ำอีกครั้งแต่ก็ซัดหลุดเสาไกลเหลือเชื่อ

ส่วนโอกาสของ อาร์เซน่อล มาจาก อองรี เหมือนเดิมที่มีลุ้นทั้งโหม่งและยิง รวมถึงถวายพานให้ เรเยส จับแล้วซัดในเขตโทษไปชนคานสนั่น

จนแล้วรนรอด เรอัล มาดริด ไม่สามารถเอาชนะหรือแม้แต่ทำประตูคืนได้ เกมสนุกตื่นเต้นแต่จบแบบไร้สกอร์ อาร์เซน่อล จึงเป็นฝ่ายผ่านเข้ารอบด้วยประตูรวม 1-0

เวนเกอร์ กล่าวหลังพาทีมฝ่าด่านอรหันต์ว่า "หากมีคนมาบอกผมว่าเราจะเล่นกับ เรอัล มาดริด สองนัดโดยไม่เสียประตูเลยทั้งที่ขาดกองหลังไปคน ผมก็คงดีใจอย่างมาก"

"ไม่มีใครคาดคิดว่าเราจะเป็นทีมอังกฤษทีมสุดท้ายที่อยู่ในการแข่งขัน เราจะเป็นตัวแทนของประเทศด้วยความมีเกียรติและมีสไตล์"

เชลซี และ ลิเวอร์พูล ที่เข้ารอบน็อกเอาต์เช่นกัน ต่างจอดป้ายที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือ บาร์เซโลน่า และ เบนฟิก้า ส่วน อาร์เซน่อล ไปต่อจนกระทั่งเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยการผ่าน ยูเวนตุส และ บียาร์เรอัล แบบไม่เสียประตูเลย

อาร์เซน่อล เข้าชิงเป็นครั้งแรกเจอกับ บาร์เซโลน่า ที่นำโดย โรนัลดินโญ่ และแม้โชคร้ายเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่ 18 นาทีแรกจากการที่ เยนส์ เลห์มัน ออกมาตัดบอลจนได้ใบแดง แต่ก็เป็นฝ่ายชิงนำก่อนจากลูกโหม่งของ โซล แคมป์เบลล์ 

น่าเสียดายที่ช่วงท้าย เกมรับของทีมโดนยิงคืนสองประตูจาก ซามูแอล เอโต้ และ ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ ส่งผลให้ บาร์เซโลน่า แซงชนะไป 2-1 คว้าแชมป์ไปครอง

อาร์เซน่อล จึงได้เพียงรองแชมป์กับการเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงทุกวันนี้ 

แต่ตลอดเส้นทางจนถึงนัดสุดท้าย ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ก็ฝากความทรงจำอันยอดเยี่ยมเอาไว้มากมายโดยเฉพาะชัยชนะเหนือ เรอัล มาดริด ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว

 


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด