การแพ้มาก่อนถึง 3 ประตูทำให้ เรอัล มาดริด ต้องลุ้นหนักในนัดสองที่จะได้ลงเล่นในรังซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของตัวเอง ในวันพุธที่ 16 เมษายนี้
แม้เป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็เคยมีหลายทีมที่พลิกสถานการณ์ได้ในนัดสอง แม้นัดแรกเพลี่ยงพล้ำก่อนถึง 3 ประตู หรือมากกว่านั้น
วันนี้เราจะย้อนอดีตกลับไปดูอีกครั้งว่าทีมครั้งไหนบ้างที่สร้างปรากฏการณ์ "พลิกนรก" เข้ารอบได้ หลังแพ้ยับในนัดแรกแบบที่เกิดขึ้นล่าสุดกับ เรอัล มาดริด
****
ลา กอรุนญ่า vs เอซี มิลาน
รอบก่อนรองชนะเลิศ 2003/04
นัดแรก เอซี มิลาน ชนะ ลา กอรุนญ่า 4-1
นัดสอง ลา กอรุนญ่า ชนะ เอซี มิลาน 4-0
เอซี มิลาน ในต้นยุค 2000 ถือเป็นยอดทีมแห่งยุคที่มั่นใจอย่างมากจะผ่าน ลา กอรุนญ่า เพื่อเข้ารอบตัดเชือก
นัดแรกที่ซาน ซิโร่ มิลาน แสดงศักยภาพให้เห็นด้วยการเก็บชัยชนะขาดลอย 4-1 กาก้า ทำไปสองประตู บวกกับ อันเดร เชฟเชนโก้ และ อันเดรีย ปีร์โล่ อีกคนละประตู
ไม่มีใครคาดคิดว่า มิลาน จะตกรอบหลังเก็บชัยชนะสวยงามนัดแรกโดยเฉพาะกับการที่เกมรับมี เปาโล มัลดินี่, อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า และ คาฟู นำทัพ
ขณะที่ ฆาเบียร์ อีรูเรต้า กุนซือ ลา กอรุนญ่า ไม่ยอมยกธงขาวกล่าวว่า "ปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้เสมอ"
ปาฏิหารย์เกิดขึ้นจนได้ วอลเตอร์ ปันดิอานี่, ฆวน การ์ลอส บาเลรอน และ อัลเบิร์ต ลูเก้ เรียงหน้าซัดให้ ลา กอรุนญ่า นำห่าง 3-0 ในครึ่งแรก ก่อนมาได้ ฟราน กอนซาเลซ ซัดแฉลบเป็นประตูชัยในครึ่งหลุัง
"ซูเปอร์เดปอร์" จึงเอาชนะคืนได้ 4-0 พลิกสถานการณ์เข้ารอบได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วน มิลาน ตกรอบในสภาพสุดช็อก
ลา กอรุนญ่า จอดป้ายที่รอบตัดเชือกหลังแพ้ ปอร์โต้ สกอร์รวม 0-1 ก่อนที่ ปอร์โต้ ของกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ จะคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ส่วน มิลาน เข้าชิงฯ ได้ในปีถัดมา และน่าจะได้แชมป์หลังนำ ลิเวอร์พูล 3-0 แต่ว่าโดนตีเสมอก่อนไปแพ้จุดโทษ และรออีก 2 ปีถึงล้างแค้นหงส์แดงได้สำเร็จ
บาร์เซโลน่า vs ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
รอบ 16 ทีมสุดท้าย 2016/17
นัดแรก : ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ชนะ บาร์เซโลน่า 4-0
นัดสอง : บาร์เซโลน่า ชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 6-1
หนึ่งในสุดยอดการคัมแบ็กตลอดกาลที่หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงเชื่อได้ยากว่าเกิดขึ้นจริงกับการโกงความตายของ บาร์เซโลน่า ที่กลายเป็นทีมแรกพลิกจากเป็นรอง 4 ประตูแล้วเข้ารอบได้
นัดแรกที่ฝรั่งเศสจบลงแบบช็อกแฟนบอลไม่น้อยเพราะ เปแอสเช เปิดรังชนะ บาร์เซโลน่า ได้ถึง 4-0 ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่ามาก ขณะที่สามประสาน MSN อย่าง ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรซ ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักไม่สามารถทำอะไรได้
บาร์เซโลน่า รวมใจสู้กันใหม่ในนัดสองที่บุกแหลกแบบไม่คิดชีวิต หลุยส์ ซัวเรซ กดประตูแรกตั้งแต่นาที 3 ก่อนได้อีกลูกท้ายครึ่งแรกจากการสกัดเข้าประตูของ เลย์แว็ง กูร์กซาว่า จากนั้น ลิโอเนล เมสซี่ บวกเป็น 3-0 ในต้นครึ่งหลัง
โมเมนตัมเป็นของ บาร์เซโลน่า แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาแอบกลัวก่อนเกมคือการเสียประตูในบ้านที่จะทำให้งานหนักขึ้นอีกเท่าตัวก็เกิดขึ้นเมื่อ เอดินสัน คาวานี่ ยิงให้ เปแอสเล ไล่มาเป็น 3-1
ต่อให้ บาร์เซโลน่า ชนะด้วยความต่าง 4 ประตูคือสกอร์ 5-1 พวกเขาก็ตกรอบอยู่ดีตามกฎประตูทีมเยือน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ 5 นาทีสุดท้าย บาร์เซโลน่า ก็ยิงประตูเพิ่มไม่ได้ สกอร์ยังเป็น 3-1 เท่าเดิม แฟนบอลบางส่วนลุกออกจากสนาม และนั่นได้กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สุดของพวกเขาที่ไม่ได้อยู่ในโมเมนต์ที่มหัศจรรย์ที่สุดของสโมสร
เนย์มาร์ กดฟรีคิกปลุกควาามหวังให้ทีมเป็น 4-1 ในนาที 88 ตามด้วยจุดโทษในนาที 90+1 ที่ เนย์มาร์ คนเดิมสังหารไม่พลาด
และแล้วฉากจบอันสมบูรณ์แบบเกิดขึ้นในนาที 90+5 เนย์มาร์ เก็บบอลหน้าเขตโทษก่อนหยดเข้าไปในกรอบอีกครั้งให้ เซร์โต้ โรเบร์โต้ สลัดกับดักล้ำหน้าดีดตามน้ำตุงตาข่าย
บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้ 6-1 ด้วยประตูก่อนจบเกมเพียงเสี้ยววินาที และเป็นประตูที่ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างระหว่าง "เข้ารอบ" และ "ตกรอบ" ประตูที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลอาซูลกราน่าไปตลอดกาล
แม้ บาร์ซ่า ตกรอบถัดมาจาการแพ้ ยูเวนตุส ในรอบถัดมา แต่ค่ำคืนที่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์เอาชนะ เปแอสเช เข้ารอบได้ก็เป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ และสำหรับหลายคนแล้วยกให้เป็นการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
บาร์เซโลน่า vs โรม่า
รอบก่อนรองชนะเลิศ 2017/18
นัดแรก : บาร์เซโลน่า ชนะ โรม่า 4-1
นัดสอง : โรม่า ชนะ บาร์เซโลน่า 3-0
เอดิน เชโก้ หัวหอกตัวเก่งของ โรม่า แทบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกหลังพาทีมสร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบตัดเชือก ฤดูกาล 2017/18
"คุณคงไม่สามารถจินตนาการได้เลย ผมหมายถึงมันน่าเหลือเชื่อ มันบ้ามาก ผมไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาได้อย่างไร เราทำสำเร็จในขณะที่ไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวเรา" เชโก้ กล่าว
โรม่า ออกไปโดน บาร์เซโลน่า รัวถึง 4-1 ในนัดแรกที่สเปน ทำให้โอกาสลุ้นเข้ารอบเหลือริบรี่ ทว่าเรื่องเป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้ในนัดสองที่กรุงโรม
เชโก้ และ เด รอสซี่ ช่วยกันทำประตูให้ทีมออกนำ 2-0 ก่อนที่ คอสตาส มาโนลาส แนวรับทีมชาติกรีซจะโหม่งลูกเตะมุมก่อนจบเกม 8 นาทีเอาชนะ บาร์เซโลน่า คืนได้ 3-0 และเป็นฝ่ายพลิกเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน
ลิเวอร์พูล vs บาร์เซโลน่า
รอบรองชนะเลิศ 2018/19
นัดแรก : บาร์เซโลน่า ชนะ ลิเวอร์พูล 3-0
นัดสอง : ลิเวอร์พูล ชนะ บาร์เซโลน่า 4-0
บาร์เซโลน่า เกี่ยวข้องกับการคัมแบ็กที่เหลือเชื่่อเป็นฤดูกาลที่ 3 ติตด่อกัน แต่เป็นฤดูกาลที่สองที่พวกเขาต้องตกรอบ
บาร์ซ่า แหย่เท้าเข้ารอบไปค่อนตัวหลังเปิดรังเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ 3-0 ลิโอเนล เมสซี่ กดไปสองประตูซึ่งหนึ่งในนั้นคือฟรีคิกสุดงามที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการยิงดีสุดตลอดกาลของแชมเปี้ยนส์ ลีก ขณะที่อีกลูกเป็น หลุยส์ ซัวเรซ ซัดใส่ทีมเก่า
ลิเวอร์พูล มีเวลา 90 นาทีในนัดสองที่แอนฟิลด์ของตัวเองสำหรับการพลิกสถานการณ์ แถมยังไม่สามารถใช้งานสองตัวหลักแนวรุกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่มีอาการบาดเจ็บ เซอร์ดาน ชาคิรี่ กับ ดิว็อค โอริกี้ จึงได้ลงตัวจริงแทน
ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มต้นดีนำก่อนตั้งแต่ 2 นาทีแรกจาก ดิว็อค โอริกี้ แต่จากนั้นต้องรอจนถึงครึ่งหลังกว่าจะได้ประตูที่สอง
จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม หวด 2 ประตูในเวลา 2 นาทีของต้นครึ่งหลังให้ทีมนำ 3-0 สกอร์รวมกลับมาเท่ากันพร้อมกับเวลาที่เหลือมากกว่าครึ่งชั่วโมง
ลิเวอร์พูล เอาประตูที่สี่จนได้จากเตะมุมในนาที 81 เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ท่าว่าจะเปลี่ยนให้ เซอร์ดาน ชาคิรี่ เตะมุมแทน บาร์เซโลน่า ไม่ทันระวังและเสียสมาธิไปด้วย เทรนต์ จึงเล่นเร็วทันทีเปิดให้ ดิว็อค โอริกี้ ซัดจ่อๆ เข้าไป บาร์ซ่า ยังคงยืนงง และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว
หงส์แดงสร้างค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในแอนฟิดล์ได้อีกครั้งด้วยการเอาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 พร้อมคว้าตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์ได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ สเปอร์ส 2-0 โดยที่ โอริกี้ ทำประตูสำคัญอีกครั้งในลูกปิดท้าย ขณะที่ โม ซาลาห์ กดจุดโทษประตูแรกตั้งแต่ต้นเกม
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT
