:::     :::

ฟุตบอลโลก 1934 : ถึงคิวยุโรป

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ด้วยความได้เปรียบในฐานะเจ้าภาพเฉกเช่นเดียวกับเจ้าภาพครั้งก่อน แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ตกเป็นของทีมชาตอิตาลี และกลายเป็นชาติแรกของยุโรปที่ทำได้

ฟุตบอลโลก 1934 จัดใหญ่โตยิ่งกว่า 4 ปีก่อนอย่างมาก แข่งกระจาย 8 เมืองทั่วประเทศ และมีการถ่ายทอดเสียงผ่านวิทยุให้แฟนบอลอีก 12 ประเทศในยุโรปได้ตามลุ้นตามเชียร์ไปด้วย 

ความสำเร็จจากครั้งแรกทำให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้มี 36 ทีมเข้าร่วมคัดเลือกก่อนได้ 16 ทีมลุยรอบสุดท้าย อิตาลีเจ้าภาพยังต้องแข่งรอบคัดเลือกก่อนผ่านกรีซได้ตามคาด ส่วนทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบคือ สหรัฐฯ ที่ปาดหน้าแย่งโควตาเม็กซิโอ ทั้งที่สมัครเข้าแข่งขันหลังสุด 

เดิมที เม็กซิโก ได้ตั๋วหลังชนะคิวบาในรอบคัดเลือก ทว่าต้องแข่งอีกนัดกับสหรัฐฯ ที่กรุงโรมก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์จะเปิดฉากเพียง 3 วัน และเป็นทัพมะกันที่เอาชนะไป 4-2 ทัพจังโก้อกหักไม่ได้เล่นรอบสุดท้ายทั้งที่เดินทางไกลมาถึงประเทศเจ้าภาพ

แชมป์เก่าอุรุกวัยปฏิเสธเข้าร่วมแข่งขันเพราะไม่พอใจที่ 4 ปีก่อน อิตาลีและทีมจากยุโรปหลายทีมไม่ไปแข่งที่บ้านตัวเอง และนั่นได้กลายเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทีมแชมป์ไม่ได้มาป้องกันแชมป์

ตัวแทนอเมริกาใต้มี 2 ทีมคือ บราซิล กับ อาร์เจนตินา ต่างตกรอบอย่างรวดเร็วตั้งแต่นัดแรกเพราะไม่ได้ใช้งานผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนามโดยเฉพาะทัพฟ้า-ขาวที่ไม่มีขุนพลจากชุดรองแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีก่อนแม้แต่คนเดียว พวกเขาพ่ายสวีเดน 2-3 ส่วนบราซิลก็โดนสเปนอัด 3-1


จานปิเอโร่ คอมบิ (ซ้าย) กัปตันทีมอิตาลี จับมือกับ ฟรานติเซ็ค พลานิคก้า ของเชโกสโลวาเกีย ก่อนเกมรอบชิงชนะเลิศ

อาร์เจนตินา ขาดความแข็งแกร่งลงไปมากเพราะเสียตัวหลักหลายคนที่เปลี่ยนไปเล่นให้ทีมชาติอิตาลีตามบรรพบุรุษ (ยุคแรกยังไม่มีกฎห้ามในเรื่องนี้) ไม่ว่าจะเป็น ลุยซิโต้ มอนติ ซึ่งลงเล่นรอบชิงฯ ฟุตบอลโลกครั้งแรก, อติลิโอ เดมาเรีย, เอ็นริโก้ กัวอิต้า และ ออร์ซี่ 

ออร์ซี่ หวด 2 ลูก ขณะที่ อันเจโล่ สเคียวิโอ กระหน่ำแฮตทริกให้อิตาลีที่เตรียมทีมมาเป็นอย่างดีภายใต้การนำของ วิตตอริโอ ปอซโซ่ ถลุงสหรัฐฯ ขาดลอย 7-1 เป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดในทัวร์นาเมนต์ 

ด้าน อียิปต์ เป็นชาติแรกจากแอฟริกาที่ได้มาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ตกเป็นรองฮังการีก่อน 0-2 อุตส่าห์ฮึดกลับมาตี 2-2 แต่ก็แผ่นปลายโดนขุนพลแม็กยาร์ขย่มชนะไป 4-2 ส่วนออสเตรียเหนื่อยถึงช่วงต่อเวลาก่อนเบียดชนะฝรั่งเศสสุดมันส์ 3-2 

ออสเตรียผ่านฮังการีได้ 2-1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และเข้าไปพบกับเจ้าภาพอิตาลีที่ต้องเหนื่อย 2 นัดกว่าจะเบียดชนะสเปนได้ 1-0 ในนัดสองจากประตูของ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ผู้กลายเป็นตำนานและชื่อสนามซาน ซิโร่ ในปัจจุบัน  

ก่อนหน้านี้ 4 เดือน ออสเตรีย เพิ่งโชว์ฟอร์มแกร่งในเกมอุ่นเครื่องที่กำราบชาติเจ้าภาพฟุตบอลโลกในสกอร์ 4-2 ด้วยสไตล์ฟุตบอลเคาะตามช่องอันยอดเยี่ยม ทว่ากลับมาเจอกันอีกครั้ง ออสเตรีย ทำเกมแบบถนัดไม่ได้เลย มัทเทียส ซินเดลาร์ กองหน้าคนสำคัญโดน ลุยซิโต้ มอนติ ประกบติดหนึบ ก่อนที่ เอ็นริโก้ กัวอิต้า ยิงประตูชัยช่วงต้นเกมให้อิตาลีเข้าป้าย 1-0 

รอบชิงชนะเลิศ อิตาลี โคจรมาพบกับ เชโกสโลวาเกีย ที่อัดเยอรมัน 3-1 โดยนัดชิงดำมีขึ้น สตาดิโอ นาซิโอนาเล่ พีเอ็นเอฟ หรือเดอะ สเตเดี้ยม ออฟ เดอะ เนชั่นแนล ฟาสซิสต์ ปาร์ตี้ ในกรุงโรม ท่ามกลางแฟนบอลเต็มความจุ 45,000 คน


ขุนพลทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลกสมัยแรก 

ในครั้งนี้ กล่าวกันว่า เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำของอิตาลีในระบอบฟาสซิสต์ มีคำสั่งให้อิตาลีต้องได้แชมป์ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตนเอง 

เชโกสโลวาเกีย แข็งแกร่งมากในยุคนั้น เล่นบอลบนพื้นได้ยอดเยี่ยม และมีดาวยิงตัวเก่งอยาง โอลดริช เนเย็ดลี่ ที่กดไปแล้ว 5 ประตูและเป็นคนทำแฮตทริกในเกมไล่อัดอินทรีเหล็กรอบตัดเชือก

เป็นรอบชิงฯ ที่สูสีและบีบหัวใจอย่างยิ่ง เชโกสโลวาเกียนำก่อนจาก อันโตนิน ปุช ก่อนจบเกม 14 นาที และเกือบหนีเป็น 2-0  หากลูกยิงของ สโวโบด้า ไม่ชนคานเสียก่อน และนั่นเหมือนปลุกให้อิตาลีตื่นจากภวังค์และทวงประตูคืนสำเร็จจาก ออร์ซี่ ในนาที 81 ก่อนจบที่สกอร์ 1-1 

เกมต้องตัดสินในช่วงต่อเวลา ปอซโซ่ โชว์ให้เห็นถึงกึ๋นของการเล่นอย่างมีวินัย และปรับเกมรุกด้วยการให้ เอ็นริโก้ กัวอิต้า กับ สเคียวีโน่ สลับฝากกันเล่นซึ่งทั้งคู่ก็ประสานงานกันจนเป็นที่มาของประตูชัยที่ สเคียวีโน่ ซัดให้อิตาลีชนะ 2-1 คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไปครอง 


จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ขึ้นรับถ้วยแชมป์จูลส์ ริเมต์ 

แฟกต์ไฟล์ฟุตบอลโลก 1934 
ชาติเจ้าภาพ : อิตาลี 
สนาม : 8 สนาม 
จำนวนทีม : 16 ทีม 
จำนวนนัด : 17 นัด 
วันแข่งขัน : 27 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายนปี 1934 
จำนวนประตู : 70 ประตู (เฉลี่ย 4.12 ต่อนัด)
ผู้ชมทั้งหมด : 363,000 คน (21,353 คนต่อนัด) 
ทีมแชมป์ : อิตาลี (สมัยแรก)
รองแชมป์ : เชโกสโลวาเกีย
อันดับ 3 : เยอรมนี
อันดับ 4 : ออสเตรีย 
รางวัลรองเท้าทองคำ : โอลด์ริช เนเยดลี่ (เชโกสโลวาเกีย) 5 ประตู
สรุปดาวซัลโว
- 5 ประตู : โอลด์ริช เนเยดลี่ (เชโกสโลวาเกีย)
- 4 ประตู : เอ็ดมอนด์ โคเนน (เยอรมัน), อันเจโล สเคียโว่ (อิตาลี)
- 3 ประตู : ไรมุนโด้ ออร์ซี่ (อิตาลี), เลโอโพลด์ เคลโฮลด์ซ (สวิตเซอร์แลนด์)




คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด