การไม่มี เอแด็น อาซาร์ ที่ทาง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยืนยันตั้งแต่แรกว่าไม่ฟิตคงทำให้ทางแฟนสิงห์บลูส์รู้สึกหวิวๆไปบ้างกับการต้องมาเยือน เบิร์นลี่ย์ ในเกมลีกวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
แต่การที่ต้องเห็นสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมต้องกรำศึกหนักจากการช่วยทีมมาอย่างต่อเนื่องบางทีก็ให้เห็นใจเหมือนกัน เพราะในแต่ละเกมก็มักจะโดนคู่แข่งตามหวดร่วงลงไปก่อนหลายต่อหลายครั้ง
วิลเลี่ยน ที่เล่นทางขวาจนโดนแฟนสิงห์ด่าแล้วด่าอีก ได้มาอยู่ทางซ้าย โดย เปโดร โรดริโกซ อยู่ทางขวา กองหน้า อัลบาโร่ โมราต้า ลงทำหน้าที่ กองกลางตัวยืนอยู่แล้วทั้ง จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ส่วนอีกตำแหน่ง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ช่วงหลังทำไดีดีต่อเนื่องได้ลงสนามหลังจากที่ มาเตโอ โควาซิช บู๊ในบอลยุโรปมาแล้ว
แนวรับกลับมาเป็นชุดใหญ่หลังจากที่พักยกแผงทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ แต่ผู้รักษาประตูยังเป็น เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ที่ลงสนามมาอย่างต่อเนื่อง
เกมที่เหนือกว่าอย่างชัดเจนเกือบขึ้นนำจาก วิลเลี่ยน ที่หลุดเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนเอี้ยวตัวแปด้วยขวาบอลชนเสาอย่างน่าเสียดาย
แต่ไม่กี่อึดใจให้หลังทีมก็มาได้ประตูขึ้นนำได้มาจากกระประสานที่ถือว่าใช้ได้เลย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไหลบอลให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ตาไวจ่ายทะลุช้องให้ อัลบาโร่ โมราต้า ทะลุมาจิ้มด้วยขวาบอล โจ ฮาร์ท เข้าไป
นับว่าเป็นการยิงที่สมบูรณ์แบบกว่าที่ผ่านมากนัก จากภาพติดตาที่มักเห็นดาวยิงชาวสเปนที่มักพลาดทำหมูหกอยู่บ่อยๆในช่วงหลัง แต่จังหวะประตูนี้คงมีความมั่นใจและเรียกความเชื่อมั่นใจกลับมาเข้าที่ได้ (อีกแล้ว)
แต่ทีมก็ต้องมาเจอข่าวร้ายเมื่อทาง เปโดร โรดริเกซ บาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวหลังผ่านครึ่งชั่วโมง ทำให้ทีมต้องขยับเปลี่ยนตัวโดยเอา รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่ได้ลงเล่นแทน โดยให้ดันสูงไปเล่นในเกมรุกเลยหลังเพิ่งทำแฮตทริคมาในบอลยุโรป
แต่สกอร์ก็ควรจะขยับหนีเป็น 2-0 ในช่วงท้ายที่ จอร์จินโญ่ ตักบอลทะลุช่องงามหมด และ อัลบาโร่ โมราต้า ก็ฉีกหนีตัวประกบพร้อมเอาบอลลงก่อนซัดเต็มข้อด้วยขวา เพียงแต่ต้องยกเครดิตให้กับ โจ ฮาร์ท ที่ยืนตำแหน่งดีมากๆบล็อคเอาไว้ได้
45 นาทีแรกกับการไม่มี เอแด็น อาซาร์ แม้ความวูบวาบจะหายไปบ้าง แต่การขึ้นเกมไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่ตัวรุกชาวเบลเยี่ยมคนเดียว หลายคนมีส่วนร่วม การขึ้นเกมรุกมีทั้งซ้ายและขวา
ที่เห็นได้ชัดก็คือการขึ้นเกมทางซ้ายที่สลับมาเป็น วิลเลี่ยน ทำหน้าที่ ดูตัวรุกแซมบ้าดูจะเล่นแล้วมีความสุขกว่าตอนที่เล่นทางขวา เพราะโดยปกติแล้วเขาถัดเท้าขวามากกว่า การเล่นทางซ้ายแล้วตัดเข้ากลางแล้วยิงคือเครื่องหมายการค้าที่เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆในช่วงฤดูกาลที่แล้ว
แต่ว่านาทีนี้หาก เอแด็น อาซาร์ ลง ด้วยฟอร์มการเล่นและการเป็นคนสำคัญยังไงก็ต้องหลีกทางให้ไปก่อน
สถิติครองบอล 67% พร้อมโอกาสยิงเข้ากรอบ 4 หน และไม่ปล่อยให้คู่แข่งยิงเข้ากรอบเลยยังไงก็ต้องปรบมือให้ แม้ เบิร์นลี่ย์ ในปีนี้จะไม่ได้เล่นดีเหมือนปีก่อนก็ตามที
เบิร์นลี่ย์ เองดูตื่นตัวมากขึ้นในช่วงออกสตาร์ทครึ่งหลังที่บีบพื้นที่ตั้งแต่หน้าเขตโทษ เชลซี เล่น แต่การต่อบอลอันทรงพลังของผู้มาเยือนในยุค เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต้องบอกว่ายังเอาตัวรอดได้อยู่เสมอ
การโดนบีบเกมสูงก็ทำให้เกมรุกของ "สิงห์บลูส์" ดูไม่ไหลลื่นมากนัก แต่พอตั้งเกมได้แปปเดียวเท่านั้นก็มาได้ประตูที่สองหลังผ่านไป 11 นาที จังหวะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไหลบอลให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ กระชากมาไม่มีใครประกบเลยตัดสินใจกดด้วยซ้ายบอลไม่แรงแต่พุ่งเรียดเสียบเสาขวามือเข้าไปแบบนิ่มๆ
นั่นยิ่งทำให้เกมของทีมดูผ่อนคลายมากขึ้น และมันก็ทำให้ เบิร์นลี่ย์ ยังต้องเปิดเกมบุกซึ่งดูจะเอื้อต่อไปเล่นของผู้มาเยือนชัดๆ
และนั่นก็เป็นที่มาของประตูที่สามหลังจากได้ประตู่สองหกนาที วิลเลี่ยน ลากบอลจากทางซ้ายตัดเข้ากลางก่อนสับไกบอลพุ่งตกพื้นผ่านมือ โจ ฮาร์ท เข้าเสาสองไป
นี่แหละคือลูกถนัดของสตาร์ทีมชาติบราซิลที่เราไม่ได้เห็นกันมานาน จากการที่ต้องไปยืนทางขวา แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้นั่นแหละว่าต้องหลบให้ อาซาร์ เพียงแต่ในเกมอื่นที่บางครั้งสลับฝั่งกันเล่นในซีซั่นนี้ระหว่างเกมมันก็ยังไม่ได้อย่างนี้
เอาเป็นว่าก็ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีของทีมที่ได้อาวุธเดิมกลับมาอีกครั้งละกัน
แต่ด้วยสกอร์ที่ขาดกับการเล่นที่เน้นการครองบอลมันก็เหมือนล่อเป้าให้แข้ง เบิร์นลี่ย์ ที่หงุดหงิดจากสกอร์ตามหลังอยู่แล้วไล่เตะหลายต่อหลายครั้งและก็โดนกันเกือบถ้วนหน้า แม้กระทั้ง เกปา อาร์ริซาบาลาต้า ที่มีจังหวะที่ออกบอลช้าจนโดน แอชลี่ย์ บาร์นส์ เสียบเข้าให้ถึงกับลงไปกองให้กรรมการนับสิบก่อนลุกมาเล่นต่อแถมไม่ได้ฟาวล์ด้วย
ส่วนการเปลี่ยนตัวก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ (เหมือนเดิม) โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงเล่นแทน อัลบาโร่ โมราต้า ขณะที่คนสุดท้าย เชส ฟาเบรกาส เล่นแทน จอร์จินโญ่ ก่อนที่ช่วงทดเจ็บจากจังหวะต่อเนื่องลูกเตะมุม มาร์กอส อลอนโซ่ จะตอกส้นให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ยิงจ่อๆบอลแฉลบเปลี่ยนทางเข้าไปเป็นประตูปิดท้ายให้ทีมกำชัยชนะ 4-0
ถือเป็นชัยชนะอันยอดเยี่ยมของทีมในยามที่ไม่มี เอแด็น อาซาร์ แม้ว่าคู่แข่งจะไม่ได้แข็งมากนัก แต่ก็ทำให้เห็นว่าทีมจะไปในทิศทางไหนยามที่สตาร์เบอร์หนึ่งของทีมไม่อยู่
เพียงแต่ความโดดเด่นของ วิลเลี่ยน อาจจะไม่ทรงพลังและมีอิทธิพลกับทีมเท่า และการสอดประสานงานกับ มาร์กอส อลอนโซ่ ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก
ที่ผ่านมาเราต้องเห็นแบ็คชาวสเปนเติมเกมบุกและมีโอกาสจบสกอร์ในทุกๆเกม แตนัดนี้แทบไม่มีให้เห็นเลย น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ คงมองเห็น เพราะบ่อยครั้งยามภาพจับก็มักจะขีดๆอะไรอยู่ตลอด
สามคะแนน, สี่ประตู พร้อมกับ คลีนชีต ถือเป็นสิ่งที่ทีมต้องการกับชัยชนะที่สวยงามพร้อมกับไม่เสียประตู ซึ่งอาจจะมีผลงานในช่วงท้ายฤดูกาลหากการเบียดลุ้นแชมป์ยังตำเนินต่อไปแบบนี้
เพราะเห็นได้ชัดว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมที่จะทะลวงตาข่ายบรรดาทีมเล็กๆในหลัก 4-5 ลูกอยู่เสมอ ซึ่งจะให้ประตูได้-เสียของทัพ "เรือใบ" นำขาดคู่แข่งแบบคนละชั้น
เห็นการสร้างสรรค์โอกาสยิงประตูในเกมนี้ที่หาโอกาสได้ยิงได้ถึง 22 หน ถือว่าดีเยี่ยม หากมันจะทำได้แบบนี้อยู่เรื่อยๆในเกมที่เจอกับคู่แข่งที่ไม่แข็งนัก
เจอทีมเล็กคว้าชัยตามเป้า, เจอทีมใหญ่สู้ได้ดีและไม่แพ้ คงต้องบอกว่าไม่ต้องหัวเสียกันอย่างฤดูกาลที่แล้วอีกแล้วล่ะ