ถึงวันนี้ เชลซี ยังยึดสถิติเป็นทีมเดียวใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่ยังไม่แพ้เกมอย่างเป็นทางการในซีซั่นนี้ตลอด 17 เกม โดยชนะ 14 เสมอ 3 พร้อมกับเข้าเบรกเก็บชัยชนะมา 5 เกมติดต่อกันแล้วก่อนเกมกับ เอฟเวอร์ตัน
บรรดานักเตะที่ได้พักจากเกมยุโรปกลับมาลงสนามพร้อมหน้าทั้งโดยเฉพาะในแผงหลังที่เก็บมายกแผงทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ดาวิด ลุยซ์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ ส่วนแผงมิดฟิลด์ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่เล่นเต็ม 90 นาทีในเกมกับ บาเต้ ก็เป็นทีของ มาเตโอ โควาซิช เช่นเดียวกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เพิ่งได้พักกับเค้า
ส่วนแนวรุก เอแด็น อาซาร์ ที่ได้เรียกความฟิตในสองเกมหลังก็สมบูรณ์เต็มร้อยกับการเล่นเกมรุก โดยมี วิลเลี่ยน ที่ลงเป็นสำรองในบอลยุโรป และ อัลบาโร่ โมราต้า ที่กำลังมั่นใจเหลือเกินยืนเป็นกองหน้า ให้ทาง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่พังประตูชัยในเกมยุโรปกับ เปโดร โรดริเกซ กลับไปเป็นสำรอง
สิ่งที่ทำให้ "สิงห์บลูส์" ได้เปรียบอยู่เล็กน้อยก็คือการที่ คูร์ท ซูม่า กองหลังของทีมที่ปล่อยให้ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวติดสัญญาทำให้ลงเล่นไม่ได้ ซึ่งผู้มาเยือนเดิมพันด้วยการส่ง เยร์รี่ มีน่า ที่ยังไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมเลยประเดิมสนามในเกมนี้
แต่เมื่อออกสตาร์ทเกมแล้วก็ได้รู้เลยว่าเกมนี้ไม่ใช่งานง่าย (แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วก็ตาม) แต่มันกลับยากกว่าที่คาดคิดไว้อีกหลังผ่านหนึ่งในสามของเกมในครึ่งแรก สไตล์การเล่นที่เน้นการครองบอลของ เชลซี ต้องเผชิญหน้ากับเกมเพรสซิ่งเร็วของฝั่งผู้มาเยือนจนไปไม่เป็นเหมือนกัน
ทั้ง เอแด็น อาซาร์ และ วิลเลี่ยน ไม่มีจังหวะกระชากลากเลื้อยให้เห็นมากนักโดยเฉพาะรายแรกที่โดนตามประกบ 2-3 คนตลอด ครั้นจะเล่นชิ่งกับเพื่อน เพื่อนก็คืนบอลมาไม่ขาดก็เกินอีก
ในขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ที่เกมรุกลุยขึ้นมาวูบวาบ มาร์โก ซิลวา ดูจะสั่งให้ทีมเล่นงานเจ้าถิ่นจากริมเส้นและเปิดเข้าไปได้ลุ้นอยู่หลายครั้ง
เมื่อเกมรุกบุกไม่ขึ้นก็ทำให้ เอแด็น อาซาร์ ต้องถอยมารับบอลกลางสนามอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งยิ่งอยู่ไกลเขตโทษก็ยิ่งอันตรายน้อย การกระสานงานกับ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ทำได้ดีมาตลอดเกมนี้ทำได้แค่ผ่านบอลให้กันธรรมดาๆเท่านั้น
แถมจังหวะโต้ยังเจอกับแนวรุกของ "ทอฟฟี่" ที่มีความเร็วทั้ง ธีโอ วัลค็อตต์ กับ ริชาร์ลิซอน รวมถึงตัวจ่ายบอลอย่าง กิลฟี่ ซิเกิร์ดส์สัน เล่นเอา จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เล่นยากจนต้องรับใบเหลืองไปทั้งคู่
ครึ่งแรกจบลงแบบไร้สกอร์ โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดของ เชลซี มาจากฟรีคิกที่ วิลเลี่ยน ตักเข้าเขตโทษด้านซ้ายให้ มาร์กอส อลอนโซ่ วอลเล่ย์ด้วยซ้ายเต็มข้อแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดออกไปได้เยี่ยม
เท่ากับว่าเกมโอเพ่น เพลย์ของฝั่งเจ้าบ้านทำอะไรผู้มาเยือนยังไม่ได้เลย แม้จะครองบอลมาถึง 67% ก็ตาม
ออกสตาร์ทครึ่งหลังไม่ถึงนาที เชลซี อาศัยจังหวะที่ เอฟเวอร์ตัน ยังไม่ทันตั้งตัวเปิดเกมใส่ เอแด็น อาซาร์ เปิดบอลจากทางซ้ายมาหน้าประตู อัลบาโร่ โมราต้า ชาร์จจ่อๆแม้โดนไม่เต็มแต่บอลก็ยังเข้ากรอบ ทว่า จอร์แดน พิคฟอร์ด พุ่งสุดตัวปฎิเสธลูกยิงนี้อีก
โอกาสทองในช่วงหนึ่งชั่วโมงของเกมพอดีจังหวะสวนที่ เอแด็น อาซาร์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ วิลเลี่ยน หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนซัดบอลพุ่งเรียดเฉี่ยวเสาไม่ถึงคืบ ต่อเนื่องด้วยจังหวะสับไกนอกกรอบของ อาซาร์ ที่เป็นอีกครั้งที่ พิคฟอร์ด ปัดออกหลังไว้ได้
"สิงห์บลูส์" ยังเดินหน้าลุยและได้ลุ้นติดๆ เอแด็น อาซาร์ ได้ช่องยิงติดบล็อค เยร์รี่ มีน่า บอลย้อยกลับลังจะเสียบใต้คานแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ก็ยังปัดได้อีก ตามด้วยลูกกดด้วยซ้ายของ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่พุ่งชนเสานอกออกหลังไป
เป็น 5 นาทีทองที่ เชลซี เดินหน้าลุยแหลกและสมควรที่จะได้ประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายสกอร์บอร์ดก็ยังไม่ทำงาน
เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวเอา เชส ฟาเบรกาส ลงเล่นแทน จอร์จินโญ่ ที่มีใบเหลืองติดตัว ก่อนที่จะเอา เปโดร โรดริเกซ ลงมาแทน วิลเลี่ยน ก่อนที่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย รอสส์ บาร์คลี่ย์ จะถูกเปลี่ยนลงมาแทน มาเตโอ โควาซิช
ก็ไม่ถือว่าเซอร์ไพรส์หรืออะไร การเปลี่ยนตัวก็เป็นการเปลี่ยนตามตำแหน่ง ไม่ได้มีการปรับแผนการเล่นแต่อย่างใด
เล่นไปเล่นมาจากที่โอกาสหลั่งไหลกลายเป็นลนลาน จ่ายบอลขาดๆเกินๆ บอลตายก็โดนถ่วงเวลา สุดท้ายเจาะไม่เข้าจบเกมด้วยการยิงประตูไม่ได้เป็นเกมที่สองในซีซั่นนี้หลังจากที่เคยเสมอกับ เวสต์แฮม แบบไร้สกอร์มาแล้ว
ในที่สุดก็มีทีมที่ทำให้ เชลซี เข้าตาจน เจาะไม่เข้า อย่างที่เคยบอกว่าหลายเกม เชลซี ครองบอลโดยเปล่าประโยชน์บอลไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
และมันอาจจะเป็นรูปแบบที่สโมสรที่เอาเป็นเยี่ยงอย่างในการมาเยือนที่นี่
ไม่ใช่ว่าทีมเจ้าบ้านเล่นไม่ดี โดยรวมแล้วก็ถือว่าใช้ได้ ไม่นับ อัลบาโร่ โมราต้า ที่นอกจากล้ำหน้ากับล้มในกรอบก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่ก็ถือว่าทีมสร้างโอกาสได้ดีเพียงแต่วันนี้ จอร์แดน พิคฟอร์ด ดันผีเข้า
แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นผลการแข่งขันที่น่าผิดหวังหากมองจากการที่ เอฟเวอร์ตัน เสียประตูมาทุกเกมยามเล่นนอกบ้านในซีซั่นนี้แต่กลับมาทำคลีนชีตได้ที่นี่ และก็เป็นเกมแรกในบ้านฤดูกาลนี้ที่ทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยิงไม่ได้
เรื่องน่าดีใจอย่างเดียวก็คือการที่ ซาร์รี่ สร้างสถิติเป็นกุนซือที่คุมพรีเมียร์ลีกปีแรกแล้วไม่แพ้ใครยาวนานที่สุด 12 เกม
แต่เชื่อเถอะว่าแฟนบอลคงไม่ได้สนใจมันเท่ากับสามคะแนนหรอก