ชัยชนะของทีมนำอย่าง แมนเเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล สองทีมนำของตารางบีบให้ เชลซี จำเป็นต้องเก็บชัยชนะในการเยือน สเปอร์ส ให้ได้เพื่อบีบช่องว่างให้เหลือเท่าเดิม
ที่สำคัญคือทั้งสองทีมข้างต้นนั้นสามารถบุกมาคว้าสามคะแนนจากการมาเยือน "ไก่เดือยทอง" ในซีซั่นนี้ด้วยกันทั้งคู่
ดังนั้นมันเหมือนกับเป็นมาตรฐานให้พลพรรคสิงโตจำต้องคว้าชัยในเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" แม็ตช์นี้มาครองให้ได้ ซึ่งฤดูกาลที่แล้วเอง อันโตนิโอ คอนเต้ ก็พาทีบุกชนะได้จากสองประตูของ มาร์กอส อลอนโซ่
การจัดทีมก็ไม่มีอะไรที่พลิกโผในระบบ 4-3-3 ตามแบบฉบับของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มี เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เฝ้าเสา กองหลัง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ ทำหน้าที่ แผงกองกลาง มาเตโอ โควาซิช ที่ไม่ได้ลงเช่วยทีมชาติเกมล่าสุดจากอาการบาดเจ็บฟิตกลับมาออกสตาร์ทตัวจริงก่อน รอสส์ บาร์คลี่ย์ ประสานงานกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ จอร์จินโญ่ ส่วนเกมรุกนำทัพโดย เอแด็น อาซาร์ อยู่ทางซ้าย วิลเลี่ยน ทางขวาและกองหน้าตัวเป้าเป็น อัลบาโร่ โมราต้า
ถือเป็นผู้เล่นชุดเดียวจากเกมล่าสุดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ก่อนช่วงเบรกทีมชาติ
ข่าวดีในช่วงนี้ของทีมก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เพิ่งต่อสัญญาใหม่กับทีมออกไปจนถึงปี 2023 สยบข่าวลือที่บรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรปอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ เรอัล มาดริด ที่จ้องดึงตัวไปร่วมทีม พร้อมค่าเหนื่อนระดับ 290,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ซึ่งสูงที่สุดในทีมแซงหน้า เอแด็น อาซาร์ ไปเรียบร้อย
แต่เกมรับที่เหนียวแน่นเป็นเอกลักษณ์ประจำทีมในซีซั่นนี้กลับมาสังเวียประตูจากลูกตั้งเตะตั้งแต่เกมยังไม่เต็ม 10 นาที คริสเตียน เอริคเซ่น ที่เปิดบอลจากทางขวา เดเล่ อัลลี่ โฉบมาโหม่งเช็ดบอลแสกหน้า เกปา เข้าไปเป็น 1-0 เลย
เรียกได้ว่าเกมของ "สิงห์บลูส์" ที่มีจุดแข็งในเรื่องของการครองบอลที่เหนือกว่าคู่แข่งเสมอยังไม่มีให้เห็นเลยในช่วง 10 นาทีแรกของเกม หรือจะบอกว่าแทบครองบอลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เป็นทางฝั่ง สเปอร์ส ที่กดดันเข้าใส่อย่างหนัก
เชลซี ที่ควรตื่นจากอาการงัวเงียแต่กลับเกือบเสียประตูเพิ่มจังหวะที่ ซน ฮึง-มิน หลุดเข้าเขตโทษได้ยิงมุมแคบแต่ติด เกปา ที่เซฟเอาไว้ได้
แต่ถึงจะรอดจากจังหวะนั้นมาได้ทีมก็ยังมาสังเวยประตูเพิ่มอยู่ดี คริสเตียน เอริคเซ่น ให้บอลมาที่ แฮร์รี่ เคน ได้ช่องกดด้วยขวานอกกรอบบอลพุ่งผ่าน ดาวิด ลุยซ์ พุ่งเสียบเสาเข้าไปชนิดที่ เกปา ยืนมองบอลเข้าประตูแบบไม่ได้ขยับตัวเลย
ถือเป็นการโดนคู่แข่งนำสองประตูหลังผ่าน 16 ประตูเป็นครั้งแรกในรอบสองปีของทีมเลย นับตั้งแต่เกมที่พ่ายให้กับ อาร์เซน่อล 0-3 เมื่อเดือนกันยายน 2016 เลย
อันที่จริงก่อนหน้านี้ผู้มาเยือนควรจะได้จุดโทษก่อนจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ ไปโดน ฮวน ฟอยธ์ ทั้งผลักทั้งเตะในกรอบแต่ มาร์ติน แอ๊ตกินสัน ที่อยู่ในจุดที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนกลับทำสัญญาณมือให้เล่นต่อ
เมื่อไม่ได้ก็เลยกลายเป็นเสียประตูเพิ่มไปอย่างนั้นเลย และทำให้ทีมอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากหนักด้วย แถมเกมของทีมก็ไม่ดีขึ้นเลยอีกต่างหาก กลายเป็น สเปอร์ส ที่ได้ลุ้นอยู่เรื่อยๆ จังหวะต่อเนื่องลูกเตะมุม คริสเตียน เอริคเซ่น เปิดมาที่เสาแรก โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ ตวัดยิงติด เกปา เซฟไว้ได้
การยืนตำแหน่งในเกมรับของ เชลซี เหมือนกับจัดขบวนกันไม่แน่นอย่างที่ผ่านมา จอร์จินโญ่ หายไปจากเกมไม่มีทั้งจังหวะช่วยเพื่อนสกรีนหน้าแผงหลังหรือแม้แต่จังหวะจ่ายบอลก็ไม่มี
ตรงข้ามกับทาง สเปอร์ส ที่แม้ ฮวน ฟอยธ์ จะอ่อนประสบการณ์ แต่ทั้ง มุสซ่า ซิสโซโก้ และ เอริค ดายเออร์ ก็คอยช่วยซ้อนได้เป็นอย่างดี
โอกาสใกล้เคียงที่สุดก็คือจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ ได้กดเต็มข้อนอกกรอบแต่ อูโก้ โยสิ ปัดไว้ได้เยี่ยม
จบครึ่งแรกกับการตามหลังสองประตูแถมจุดแข็งเรื่องการครองบอลยังไม่อาจรุกคืบไปในแดนคู่แข่งเท่าที่ควร บ่ยอครั้งเป็นการครองบอลในแดนตัวเองเท่านั้น แถมการประสานงานไม่ว่าจะในตำแหน่งไหนแทบจะไม่มีให้เห็นเลย
การผ่านบอลเข้าเป้ามากกว่าไม่เป็นประโยชน์ ตรงข้ามกับ สเปอร์ส ที่อาจจะไม่แม่นเท่าแต่เป็นจังหวะได้เสียวมากกว่า
ฉากเปิดตัวในครึ่งหลัง เชลซี ทำได้อย่างดี เปิดเกมบุกเข้าใส่เกือบตลอด 10 นาทีแรก โอกาสลุ้นประตูหลายต่อหลายครั้งแต่ยิงไม่ได้ สุดท้ายมาสังเวยประตูเพิ่ม
ในจังหวะสวนกลับที่ เดเล่ อัลลี่ จ่ายบอลให้ ซน ฮึง-มิน หลุดมาทางขวาอาซัยความเร็วกระชากบอลหนี จอร์จินโญ่ ก่อนจะแตะหลอก ดาวิด ลุยซ์ ที่พยายามวิ่งเข้ามาซ้อนแต่โฉ่งฉ่างเหลือเกิน ก่อนหลุดไปยิงผ่าน เกปา ให้สกอร์ขยับเป็น 3-0
หลังเสียประตูที่สาม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวสองคนรวด แต่การแก้เกมกลับดูไม่ได้เป็นการเพิ่มเติมเกมรุกอะไรเลย เปโดร โรดริเกซ ถูกส่งลงมาแทน อัลบาโร่ โมราต้า ส่วนอีกคน รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงเล่นแทน มาเตโอ โควาซิช
ถามว่าในฐานะแฟนเชลซีจะผิดหวังหรือไม่ ก็อาจจะว่าแบบนั้นก็ได้ เพราะในสถานการณ์ที่ทีมตามหลังสุดกู่ขนาดนี้ สิ่งที่เหล่าสาวกสิงโตน้ำเงินอยากเห็นคือการที่ทีมส่งผู้เล่นในแนวรุกมากขึ้น
แต่สิ่งที่ได้ก็คือการส่งผู้เล่นลงตามตำแหน่ง โดยขยับ วิลเลี่ยน ไปอยู่ทางซ้าย เปโดร ลงมาเล่นทางขวา แล้วให้ เอแด็น อาซาร์ ไปยืนเป็นกองหน้าในแบบ "ฟอลส์ ไนน์"
ถึงอย่างนั้นการเปลี่ยนตัวอาจจะทำให้ทีมมีความวูบวาบมากขึ้น แต่จังหวะเข้าทำกลับเป็นทาง สเปอร์ส ที่มีโอกาสได้ประตูเพิ่มอยู่เรื่อยๆและน่าจะได้เพิ่มหลายครั้งหลายหน
คนสุดท้ายที่ถูกส่งลงสนามมาในช่วง 15 นาทีสุดท้ายก็ไม่พลิกโผ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน วิลเลี่ยน เรียกได้ว่าตามสคริปต์เป๊ะทั้งสามคนที่ลงเป็นสำรอง
ถ้าเป็นหวยคงซื้อถูกจนรวยไปแล้วแบบนี้
ท้ายเกมอาจจะได้ประตูปลอบใจจากจังหวะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ โหม่งลูกเปิดของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เข้าประตูไป นับเป็นประตูแรกในลีกของเจ้าตัวในซีซั่นนี้เลย
ต้องยอมรับว่าเกมนี้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เตรียมตัวมาดีจริงๆ นักเตะทุกคนวิ่งไล่บีบเกมจนนักเตะ เชลซี ทำอะไรก็ลำบาก โดยเฉพาะ จอร์จินโญ่ ที่เป็นตัวพักบอลและกำหนดจังหวะของเกมแทบไม่ได้บอลเลย
แค่นี้ก็แทบจะทำให้เกมของฝั่ง "สิงห์บลูส์" เป็นอัมพาตไปแล้ว ถือเป็นบทเรียนให้กับกองกลางทีมชาติอิตาลีรู้เลยว่าเกมเร็วของพรีเมียร์ลีกพร้อมจะเล่นงานเขา เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เจอแบบนี้
ดาวิด ลุยซ์ ก็เผยให้เห็นจุดอ่อนอีกครั้งถึงการเล่นที่ไร้ความ "นิ่ง" และนี่คือสิ่งที่เห็นได้อยู่เสมอ ส่วน อัลบาโร่ โมราต้า เป็นอีกเกมที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขณะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มีความคล่องตัว แต่การเล่นเกมรุกหรือในจังหวะทีเด็ดทีขาดยังเป็นจุดอ่อนของเจ้าตัว
และเป็นอีกครั้งกับการครองบอลที่เหนือกว่าคู่แข่ง ไม่ได้หมาย ถ้าบอลไม่ไปข้างหน้าเหมือนกับ สเปอร์ส ที่ครองบอลน้อยกว่าแต่เป็นจังหวะเข้าทำและจบสกอร์ล้วนๆ
ความพ่ายแพ้เกมแรกในซีซั่นนี้พร้อมทั้งอันดับหล่นไปอยู่ที่ 4 ของตาราง ถือว่าเป็นการกระชากแฟนบอล เชลซี ให้รู้ตัวและยอมรับว่าตอนนี้ทีมยังไม่ดีพอที่จะขึ้นไปเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในตอนนี้
รอดูว่าตลาดเดือนมกราคมจะไม่มีการเสริมทีมอย่างที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ บอกเอาไว้หรือไม่ ถ้าสุดท้ายไม่มีใครเข้ามาจริงๆ ก็คงลุ้นแค่เกาะกลุ่มพื้นที่โควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้ละกัน